admin

เริมที่ปาก สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโรคนี้

เริมที่ปาก สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับโรคนี้

เริมที่ปาก เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถสร้างความรำคาญและความไม่สบายให้กับผู้ป่วยได้ไม่น้อย บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเริมที่ปาก ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงวิธีการป้องกัน สาเหตุของเริมที่ปาก เริมที่ปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งมีสองชนิดหลัก ได้แก่ การติดต่อ ไวรัสนี้แพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับบริเวณที่ติดเชื้อ เช่น อาการของ เริมที่ปาก อาการของเริมที่ปากมักเกิดขึ้นเป็นระยะๆ โดยมีขั้นตอนดังนี้: ปัจจัยกระตุ้น ปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดการกำเริบของเริมที่ปาก ได้แก่ การวินิจฉัย แพทย์สามารถวินิจฉัยเริมที่ปากได้จาก การป้องกัน เริมที่ปาก การป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการกำเริบ การรักษา เริมที่ปาก แม้ว่าจะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่มีวิธีจัดการอาการและลดระยะเวลาการเกิดแผลได้ ดังนี้ คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนยิ่งขึ้น เรามาดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเริมที่ปากกัน คำถาม คำตอบ เริมที่ปากสามารถหายขาดได้หรือไม่ ? ไม่สามารถหายขาดได้ เนื่องจากไวรัสจะอยู่ในร่างกายไปตลอด แต่สามารถควบคุมอาการ ลดความถี่ของการกำเริบได้ เริมที่ปากติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ ? ได้ โดยเฉพาะในกรณีของการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก … Read more

ฝีดาษวานร Mpox

ฝีดาษวานร | Mpox

ฝีดาษวานร (Mpox) เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีต้นกำเนิดในทวีปแอฟริกา โดยพบครั้งแรกในลิงทดลองเมื่อปี 2501 และพบการติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกในปี 2513 ที่ประเทศคองโก ชื่อฝีดาษวานรอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคที่พบเฉพาะในลิง แต่ความจริงแล้วสัตว์ฟันแทะหลายชนิดในแอฟริกาเป็นพาหะของโรคนี้ การระบาดครั้งใหญ่นอกทวีปแอฟริกาเกิดขึ้นในปี 2565 ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวและให้ความสนใจกับโรคนี้มากขึ้น องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้การระบาดของฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern – PHEIC) ในเดือนกรกฎาคม 2565 สาเหตุและการติดต่อ ฝีดาษวานรเกิดจากเชื้อไวรัส Mpox virus ซึ่งอยู่ในตระกูล Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสที่ก่อโรคฝีดาษในมนุษย์ การติดต่อสามารถเกิดได้หลายทาง อาการและการวินิจฉัย ฝีดาษวานร ระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ประมาณ 5-21 วัน โดยทั่วไปมักมีอาการดังนี้ ผื่นจะพัฒนาจากจุดแดงเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำ และสุดท้ายกลายเป็นสะเก็ดแห้งหลุดลอกไป กระบวนการนี้อาจใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ การวินิจฉัย ทำได้โดยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจPCRจากตัวอย่างผื่นหรือสารคัดหลั่ง การรักษาและการป้องกัน การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ บรรเทาปวด … Read more

สถานะตรวจไม่เจอ (Undetectable) ทำอย่างไร

สถานะตรวจไม่เจอ (Undetectable) ทำอย่างไร?

การอยู่ใน สถานะตรวจไม่เจอ หรือ Undetectable เป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี เมื่อปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนต่ำกว่าระดับที่เครื่องมือทางการแพทย์จะตรวจพบได้ (โดยทั่วไปคือต่ำกว่า 20-50 copies ต่อมิลลิลิตรของเลือด) จะถือว่าอยู่ในสถานะ Undetectable การบรรลุและรักษาสถานะนี้ไว้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย นี่คือวิธีการที่ละเอียดและครอบคลุมเพื่อช่วยให้คุณบรรลุและรักษาสถานะ Undetectable สถานะตรวจไม่เจอ ทำได้โดยการเริ่มรักษาโดยเร็ว การเริ่มรับประทานยาต้านไวรัสทันทีที่ทราบผลการติดเชื้อ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เริ่มการรักษาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่คำนึงถึงระดับ CD4 หรือระยะของโรค รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง อย่างเคร่งครัด เป็นกุญแจสำคัญในการเข้าสู่สถานะ Undetectable การกำหนดเวลารับประทานยาที่แน่นอนและสอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน การใช้กล่องใส่ยาแบ่งตามวัน และการตั้งเตือนในโทรศัพท์มือถือหรือนาฬิกา เป็นเทคนิคที่ช่วยให้รับประทานยาได้อย่างสม่ำเสมอ การพกยาติดตัวเผื่อกรณีฉุกเฉินและการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการเดินทางหรือการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรก็เป็นสิ่งสำคัญ การพลาดยาแม้เพียงไม่กี่ครั้งอาจทำให้ไวรัสกลับมาเพิ่มจำนวนได้ และการรับประทานยาไม่สม่ำเสมออาจนำไปสู่การดื้อยา ซึ่งจะทำให้การรักษายากขึ้น ติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ การพบแพทย์ตามนัด และตรวจวัดปริมาณไวรัสในเลือดอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งสำคัญในการติดตามประสิทธิภาพของการรักษา จัดการกับผลข้างเคียงของยา ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัส อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความสม่ำเสมอในการรับประทานยา การจัดการกับผลข้างเคียงอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ผื่นผิวหนัง อาการเหนื่อยล้า ปวดหัว … Read more

U=U&ME สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวี

U=U&ME สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวี

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 มูลนิธิเพื่อรัก (Love Foundation) ได้จัดงานถ่ายภาพที่มีความหมายและทรงพลังขึ้น ณ Crimson Studio ในใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่มีชื่อว่า U=U&ME แคมเปญนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความเข้าใจและเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวี รวมถึงการต่อต้านการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อในสังคมไทย ซึ่งยังคงเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกและต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แคมเปญU=U&ME มุ่งเน้นการเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องและทันสมัยเกี่ยวกับแนวคิด “U=U” (Undetectable = Untransmittable) หรือ “การตรวจไม่พบเชื้อเท่ากับไม่สามารถแพร่เชื้อได้” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก และสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำทั่วโลก แนวคิดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากชี้ให้เห็นว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณไวรัสในเลือดต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแพร่เชื้อ ข้อมูลนี้ไม่เพียงแต่ให้ความหวังแก่ผู้ติดเชื้อ แต่ยังช่วยลดความกลัวและการตีตราในสังคมอีกด้วย แคมเปญ U=U&MEผู้เข้าร่วมถ่ายภาพ ในงานถ่ายภาพครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมที่มีบทบาทสำคัญในสังคมไทยหลายท่าน ซึ่งแต่ละท่านล้วนมีอิทธิพลต่อความคิดและทัศนคติของสาธารณชน ได้แก่ การมีส่วนร่วมของบุคคลเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และการเข้าถึงของแคมเปญ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วนในการต่อสู้กับการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี แคมเปญ “U=U&ME” มีเป้าหมายที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง มูลนิธิเพื่อรัก (Love Foundation) มีแผนการดำเนินงานที่ครอบคลุมและต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแคมเปญ โดยจะเผยแพร่ภาพและเนื้อหาจากการถ่ายภาพครั้งนี้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และการจัดนิทรรศการในพื้นที่สาธารณะ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้าง นอกจากนี้ … Read more

Beefhunt เว็บไซต์หาคู่สำหรับเกย์ ใช้งานฟรี และ ไม่มีโฆษณา

BeefHunt เว็บไซต์หาคู่สำหรับเกย์ ใช้งานฟรี และ ไม่มีโฆษณา

BeefHunt เป็นเว็บไซต์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน LGBTQ+ โดยเฉพาะกลุ่มเกย์ที่กำลังมองหาความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เว็บไซต์นี้มีจุดเด่นที่แตกต่างจากแพลตฟอร์มหาคู่อื่น ๆ ด้วยนโยบายการใช้งานฟรี และปราศจากโฆษณา มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น ปลอดภัย และสนุกสนาน จุดเด่นของ BeefHunt BeefHuntเหมาะกับใคร วิธีใช้งาน BeefHunt BeefHunt มีอะไรมากกว่าเว็บไซต์หาคู่ทั่วไป BeefHuntมุ่งมั่นที่จะเป็นมากกว่าแค่เว็บไซต์หาคู่ทั่วไป แต่เป็นแพลตฟอร์มที่สร้างคุณค่า และความเข้าใจในชุมชนเกย์ โดยยึดมั่นในหลักการของความเท่าเทียม การเคารพ และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน สมัครสมาชิก BeefHunt ฟรี วันนี้ เริ่มต้นการค้นหาคู่เดทที่ใช่สำหรับคุณ!

ไวรัสตับอักเสบบี สาเหตุหลักของมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) สาเหตุหลักของมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นการติดเชื้อไวรัสในตับ เป็นปัญหาด้านสุขภาพทั่วโลก แม้จะมีวัคซีน และความก้าวหน้าในการรักษาพยาบาล แต่ไวรัสตับอักเสบบียังคงส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ในบทความที่ครอบคลุมนี้ เราจะเจาะลึกความซับซ้อนของโรคไวรัสตับอักเสบบี โดยให้ข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และกลยุทธ์ในการป้องกัน ด้วยการมอบความรู้ และความตระหนักรู้แก่ผู้อ่าน ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร ? ไวรัสตับอักเสบบีเกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี (Hepatitis B Virus – HBV) ไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบ ไวรัสตับอักเสบบีแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน และระยะเรื้อรัง อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีชาเข้ม หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบบี อาการเป็นอย่างไร ? อาการของไวรัสตับอักเสบบี จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยแบ่งเป็น 2 … Read more

โรคหนองในเทียม (Chlamydia) โรคฮิตที่มากับเพศสัมพันธ์

โรคหนองในเทียม (Chlamydia) โรคฮิตที่มากับเพศสัมพันธ์

โรคหนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis: NGU) คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STD) ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย คลามัยเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia trachomatis) พบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน บางรายอาการของโรคจะไม่แสดงให้เห็นชัด แต่สามารถแพร่กระจายไปติดกับผู้อื่นต่อได้หากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน โรคหนองในเทียมติดต่อกันได้อย่างไร ? โรคหนองในเทียมแพร่กระจายคล้ายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ดังนี้ โรคหนองในเทียม อาการเป็นอย่างไร ? อาการของหนองในเทียมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังต่อไปนี้ ผู้ชาย ผู้หญิง มีหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ ตกขาวผิดปกติ อาจเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือมีกลิ่นเหม็น แสบร้อน หรือคันที่อวัยวะเพศ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกระหว่างรอบเดือน อัณฑะบวม เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ภาวะแทรกซ้อนของโรคหนองในเทียม โรคหนองในเทียมหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น โรคหนองในเทียมการวินิจฉัย แพทย์จะวินิจฉัยโรคหนองในเทียม โดยพิจารณาจาก ผลตรวจของโรคหนองในเทียม การรักษา โรคหนองในเทียม หนองในเทียมสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แพทย์จะสั่งยาให้คุณตามอาการ และความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปแล้ว ยาที่ใช้รักษาหนองในเทียมมีดังนี้ … Read more

เรื่องที่มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV

เรื่องที่มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV

ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ เรื่องที่มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง เอชไอวี คืออะไร เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเอดส์ คืออะไร เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome – AIDS) คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้ สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวี สามารถติดเชื้อเอชไอวี โดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ โรคเอดส์ กับ เชื้อ HIV เป็นคนละตัวกัน HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต ปัจจุบัน ยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ได้โดยตรง แต่ถ้าหากตรวจพบในระยะที่ยังเป็นการติดเชื้ออยู่ สามารถทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายภูมิคุ้มกันในร่างกาย … Read more

เมื่อไหร่ควร ตรวจเอชไอวี

ตรวจเอชไอวี ควรไปเมื่อไหร่ดี ?

หากคุณสงสัยว่าตัวเองมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การรีบปรึกษาแพทย์ หรือสถานพยาบาล เพื่อทำการ ตรวจเอชไอวี โดยเร็ว ไม่จำเป็นต้องรอให้แสดงอาการ เพราะความจริงนั้น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวเลยว่าได้รับเชื้อมาเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีสัญญาณใด ๆ ระบุได้ว่าอาการไหน คือคนที่ติดเชื้อแล้ว จนกว่าคนนั้นจะได้ทำการเจาะเลือด ข้อดีของการตรวจหาเชื้อเอชไอวี การตรวจหาเชื้อเอชไอวี มีข้อดีหลายประการ ดังนี้ รู้จัก WINDOW PERIOD กันก่อน! ระยะฟักตัว หรือ Window Period อธิบายง่าย ๆ คือ ช่วงเวลาที่คุณได้รับเชื้อเอชไอวีมาแล้ว แต่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Anti-body) ยังตรวจไม่พบเชื้อ ทำให้การเจาะเลือดตรวจในช่วงนี้ยังไม่พบเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะสามารถตรวจจับเชื้อเอชไอวีได้ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งแต่ละคนก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน เพราะการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัสนั้นแตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องรอระยะเวลาที่จะสามารถตรวจเอชไอวีพบเชื้อได้นั่นเอง แบบไหนควร ตรวจเอชไอวี? ต้องรอกี่วันถึงไปตรวจเลือดได้? ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความก้าวไกลมาก ณ ปัจจุบัน ทำให้มีการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีที่ใช้กรรมวิธีที่แตกต่างกันไป ดังต่อไปนี้ การตรวจหาแอนติบอดีของเชื้อเอชไอวี (ANTI-HIV) แอนติบอดีนั้น ถูกสร้างขึ้นมา … Read more

ตอบทุกข้อสงสัย เกี่ยวกับ การตรวจ HIV ในปัจจุบัน

ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ การตรวจ HIV ในปัจจุบัน

เป็นที่ทราบกันดีว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ยังไม่สามารถคิดค้นวิธีการรักษาให้หายขาดได้ นั่นก็ คือ เชื้อเอชไอวี (HIV : Human Immunodeficiency Virus) ที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ง่ายมากกว่าปกติ อีกทั้งหากไม่เข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วแล้ว จะส่งผลต่อร่างกายทำให้เข้าสู่ระยะรุนแรง ที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อว่า ระยะเอดส์ นั่นเอง ด้วยความเชื่อ และความเข้าใจผิดที่ได้ส่งต่อกันมา เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะ ตรวจ HIV เพื่อเพิ่มการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากเอชไอวีเท่าที่ควร ซึ่งมีแง่มุมต่อผู้ป่วยเอชไอวีในทางลบ จนส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติไปจนถึงการตีตราผู้ป่วย นำมาสู่ความกลัว ไม่กล้า ไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นผู้ที่น่ารังเกียจของสังคม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การตรวจ HIV กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนไม่กล้าปรึกษาแพทย์โดยตรง ทั้งที่ตนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูงก็ตาม ในบทความนี้ เราได้รวบรวมคำตอบของทุกข้อสงสัย เกี่ยวกับการตรวจ HIV ที่คัดสรรมาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า พบคำถามเหล่านี้บ่อยครั้งจากหลากหลายแหล่ง รวมไปถึงความเข้าใจผิด ๆ ที่ต้องการให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจไปในทิศทางถูกต้อง และเปลี่ยนทัศนคติต่อการตรวจ HIV การป้องกัน HIV การรักษา HIV ไปจนถึงการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นหลังจากทราบผลการตรวจ HIV ว่าติดเชื้อเอชไอวี ทั้งหมดนี้จะให้ความรู้และไขข้อข้องใจได้ครบถ้วนมากน้อยแค่ไหน ไปติดตามในเนื้อหากันได้เลย … Read more