ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) สาเหตุหลักของมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี สาเหตุหลักของมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นการติดเชื้อไวรัสในตับ เป็นปัญหาด้านสุขภาพทั่วโลก แม้จะมีวัคซีน และความก้าวหน้าในการรักษาพยาบาล แต่ไวรัสตับอักเสบบียังคงส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ในบทความที่ครอบคลุมนี้ เราจะเจาะลึกความซับซ้อนของโรคไวรัสตับอักเสบบี โดยให้ข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ วิธีการรักษา และกลยุทธ์ในการป้องกัน ด้วยการมอบความรู้ และความตระหนักรู้แก่ผู้อ่าน

ไวรัสตับอักเสบบีคืออะไร ?

ไวรัสตับอักเสบบีเกิดจากการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี (Hepatitis B Virus – HBV) ไวรัสชนิดนี้จะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบ ไวรัสตับอักเสบบีแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน และระยะเรื้อรัง อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีชาเข้ม หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี อาการเป็นอย่างไร ?

ไวรัสตับอักเสบบี อาการเป็นอย่าง ไร

อาการของไวรัสตับอักเสบบี จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยแบ่งเป็น 2 ระยะหลักๆ ดังนี้

ไวรัสตับอักเสบบีระยะเฉียบพลัน

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ประมาณ 30 – 50% จะไม่มีอาการใดๆ แต่ผู้ป่วยที่แสดงอาการจะมีอาการดังนี้

  • ไข้
  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ปัสสาวะสีชาเข้ม

อาการเหล่านี้จะปรากฏประมาณ 1 – 4 เดือนหลังจากได้รับเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบบี ระยะเรื้อรัง

ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ประมาณ 5 – 10% ของระยะเฉียบพลัน จะไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสออกจากร่างกายได้ และจะกลายเป็นผู้ป่วยระยะเรื้อรัง มีอาการดังนี้

  • อ่อนเพลีย
  • เบื่ออาหาร
  • ปวดท้อง
  • ตับโต
  • ม้ามโต
  • ขาบวม
  • เลือดออกง่าย

หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่โรคตับแข็ง และมะเร็งตับได้

กลุ่มเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบบี

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ ถุงยางอนามัย
  • ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  • ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ผู้ที่ใช้เข็มสักร่วมกัน
  • ผู้ที่เจาะหูหรือสักลายโดยใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาด
  • จากแม่สู่ลูกขณะคลอดบุตร

ไวรัสตับอักเสบบี การวินิจฉัย

ไวรัสตับอักเสบบีการวินิจ ฉัย

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี เป็นการเจาะเลือดเพื่อหาสารภูมิคุ้มกัน (Antibody) และสารพันธุกรรม (DNA) ของไวรัสในกระแสเลือด โดยทั่วไปมีดังนี้

  • แจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่หากมีโรคประจำตัว กำลังทานยา อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร
  • แจ้งประวัติการสัมผัสกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัก การเจาะ
  • เจ้าหน้าที่จะเจาะเลือดบริเวณ ข้อพับ และส่งตัวอย่างเลือดไปยังห้องปฏิบัติการ
  • ตรวจหาสารภูมิคุ้มกัน (Antibody) และสารพันธุกรรม (DNA) ของไวรัสตับอักเสบบี
  • แพทย์จะอธิบายผลตรวจ และให้คำแนะนำในการรักษา หรือติดตามผลต่อไป
    • ผลบวก หมายถึง ติดเชื้อ
    • ผลลบ หมายถึง ไม่ติดเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบบีภาวะแทรกซ้อน

ไวรัสตับอักเสบบีสามารถทำให้เกิดการอักเสบของตับ ส่งผลต่อการทำงานของตับ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น

  • ตับแข็ง
  • มะเร็งตับ
  • ตับวายเฉียบพลัน

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี

เป้าหมายของการรักษาไวรัสตับอักเสบบี แพทย์จะเลือกใช้ยาต้านไวรัส ชนิดรับประทาน เช่น lamivudine, telbivudine, entecavir, adefovir, tenofovir เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ลดการอักเสบของตับ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคตับแข็ง มะเร็งตับ และตับวาย ระยะเวลาในการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค ปัจจัยทางผู้ป่วย และผลการตรวจ

ไวรัสตับอักเสบบีแนวทางการป้องกัน

ไวรัสตับอักเสบบี แนวทาง การป้องกัน
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • มีคู่นอนเพียงคนเดียว ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี เป็นประจำ

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ถึงแม้ว่า ไวรัสตับอักเสบบี จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ แต่เราสามารถป้องกันตัวเองได้ง่ายด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย และที่สำคัญฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เพียงเท่านี้ ไวรัสตับอักเสบบี ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป