HIV คือ อะไร รู้ทันสาเหตุ อาการ และแนวทางป้องกัน

HIV คือ อะไร รู้ทันสาเหตุ อาการ และแนวทางป้องกัน

ก่อนที่เราจะพูดถึงการรักษาหรือการป้องกัน หลายคนอาจยังสับสนว่า “HIV คือ อะไรกันแน่?” บางคนเข้าใจว่าเป็นโรคเดียวกับเอดส์ ขณะที่บางคนยังไม่แน่ใจว่าติดได้อย่างไร หรือสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ คำถามเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นในสังคมอยู่เสมอ แม้ปัจจุบันองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์จะพัฒนาไปไกลมากแล้วก็ตาม HIV คือเชื้อไวรัส ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากไม่ได้รับการรักษาอาจพัฒนาเป็นโรคเอดส์ในระยะสุดท้าย แต่ในยุคปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติและปลอดภัยด้วยการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับ HIV จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน ดูแลตนเอง และลดอคติทางสังคม บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดว่า HIV คืออะไร สาเหตุของการติดเชื้อ อาการในแต่ละระยะ วิธีตรวจ การรักษา และแนวทางการป้องกัน เพื่อให้ทุกคนรู้เท่าทันและอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ

ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ HIV คือ อะไร

HIV คือ เชื้อไวรัสที่มีชื่อเต็มว่า Human Immunodeficiency Virus ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย มันจะค่อย ๆ ทำลายเซลล์เหล่านี้ลงทีละน้อย ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงจนไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อหรือโรคอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อ HIV จะพัฒนาเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ ซึ่งเรียกว่า โรคเอดส์ (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) ระยะนี้ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันบกพร่องขั้นรุนแรง ผู้ติดเชื้ออาจเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสหรือมะเร็งบางชนิดที่อันตรายถึงชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการติดเชื้อ HIV ไม่ได้หมายถึง “จุดจบของชีวิต” อีกต่อไป เพราะการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) ที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว และใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนทั่วไป

quicky

สาเหตุของการติดเชื้อ HIV คือ อะไร ?

การติดเชื้อ HIV เกิดขึ้นเมื่อมีการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านของเหลวบางชนิด ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด และน้ำนมแม่ โดยมีเส้นทางหลักในการแพร่เชื้อ 3 ช่องทาง ได้แก่

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน เป็นสาเหตุหลักของการแพร่เชื้อ HIV ในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องทวารหนักหรือช่องคลอดโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การสัมผัสของเหลวที่มีเชื้อโดยตรงกับเยื่อบุอ่อนภายในร่างกายสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้
  2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีด และมีการใช้เข็มหรืออุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น จะมีความเสี่ยงสูงมากต่อการรับเชื้อ HIV ผ่านทางเลือด
  3. การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก เกิดขึ้นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมบุตร แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการตรวจ และรับยาต้านไวรัสระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถลดโอกาสการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกได้เกือบ 100%

เชื้อ HIV ไม่สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสทั่วไป เช่น การจับมือ การกอด การใช้ช้อนส้อมร่วมกัน หรือการอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน การเข้าใจข้อเท็จจริงนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ

“ChatLove2test"

กลไกการทำงานของเชื้อ HIV ภายในร่างกาย

เมื่อเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกาย มันจะจับกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่เป็น “หัวใจสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน” จากนั้นไวรัสจะเข้าสู่เซลล์และใช้กระบวนการภายในเซลล์ในการสร้างตัวเองเพิ่มขึ้น เชื้อที่ถูกสร้างใหม่จะออกมาทำลายเซลล์ CD4 เดิม และแพร่กระจายไปยังเซลล์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนเซลล์ CD4 ลดลงเรื่อย ๆ จนระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ติดเชื้อจึงเริ่มป่วยง่าย และมีอาการของโรคติดเชื้อฉวยโอกาส การใช้ยาต้านไวรัสมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการนี้ ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และช่วยให้ระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายกลับมาแข็งแรงขึ้น

อาการของผู้ติดเชื้อ HIV

อาการของการติดเชื้อ HIV จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่

“PrEPLove2test"
ระยะที่ 1: ระยะติดเชื้อเฉียบพลันระยะที่ 2: ระยะไม่แสดงอาการระยะที่ 3: ระยะเอดส์ (AIDS)
หลังได้รับเชื้อประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นผลจากร่างกายเริ่มตอบสนองต่อเชื้อ ช่วงนี้ปริมาณไวรัสในเลือดจะสูงมาก ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อได้ง่าย แม้อาการจะหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายและเข้าสู่ระยะต่อไปผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี ระยะนี้ไวรัสยังคงทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างช้า ๆ หากไม่ได้รับการรักษา ระดับ CD4 จะค่อย ๆ ลดลงจนร่างกายเริ่มอ่อนแอเป็นระยะที่ภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรง ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคทั่วไปได้ ผู้ป่วยอาจมีอาการปอดอักเสบเรื้อรัง ติดเชื้อราในช่องปากหรือลำคอ น้ำหนักลดมาก หรือมีมะเร็งบางชนิดเกิดขึ้น การตรวจเลือด และเข้ารับการรักษาเร็วตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามไปถึงระยะเอดส์ได้

วิธีการตรวจหาเชื้อ HIV

ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) เพื่อวินิจฉัยการติดเชื้อสามารถทำได้หลายวิธี โดยแบ่งออกเป็น 4 วิธีหลักที่ใช้ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ และ 2 วิธีสำหรับการตรวจด้วยตนเอง (HIV Self-Test) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและแตกต่างกัน ดังนี้

1. การตรวจแบบ HIV p24 Antigen Testing

การตรวจชนิดนี้มุ่งเน้นการตรวจหา “แอนติเจน” ของเชื้อ HIV โดยเฉพาะโปรตีนที่มีชื่อว่า p24 antigen ซึ่งจะปรากฏในเลือดของผู้ที่เพิ่งติดเชื้อใหม่ ๆ ภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ แพทย์มักเลือกใช้การตรวจแบบนี้กับผู้ที่อยู่ในช่วง “เสี่ยงระยะเริ่มต้น” ซึ่งร่างกายยังไม่สร้างภูมิคุ้มกัน (Anti-HIV) ต่อเชื้อ หรือกรณีที่ผู้รับการตรวจมีระดับภูมิต้านทานต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีทั่วไป วิธีนี้จึงมีความสำคัญต่อการวินิจฉัยเบื้องต้นของผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างยิ่ง

2. การตรวจแบบ Anti-HIV Testing

เป็นการตรวจหา “แอนติบอดี” หรือภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อ HIV สามารถตรวจพบได้หลังจากผ่านการติดเชื้อมาแล้วประมาณ 3–4 สัปดาห์ วิธีนี้ถือเป็นวิธีมาตรฐานที่นิยมใช้มากที่สุดในปัจจุบันสำหรับ การตรวจคัดกรองเบื้องต้น เนื่องจากให้ผลแม่นยำในผู้ที่มีการติดเชื้อมาระยะหนึ่งแล้วและมีราคาย่อมเยา

3. การตรวจแบบ Fourth Generation HIV Test

วิธีนี้เป็นการรวมข้อดีของทั้งสองรูปแบบก่อนหน้าเข้าด้วยกัน โดยสามารถตรวจหาได้ทั้ง

  • แอนติเจนของเชื้อ HIV (p24 antigen)
  • แอนติบอดี (Anti-HIV)

ด้วยน้ำยาชนิดเดียวกันภายในการตรวจเพียงครั้งเดียว ทำให้สามารถตรวจพบเชื้อได้ตั้งแต่ ประมาณ 2 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ปัจจุบัน วิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในโรงพยาบาลและคลินิก เนื่องจากมีความรวดเร็ว ประหยัดเวลา และให้ความแม่นยำสูง เหมาะสำหรับทั้งการตรวจคัดกรองและการยืนยันผลในเบื้องต้น

4. การตรวจแบบ Nucleic Acid Test (NAT)

การตรวจ NAT เป็นเทคนิคระดับสูงที่ตรวจหา สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส (RNA หรือ DNA) โดยตรง จึงสามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วที่สุด ภายในเวลาเพียง 5 – 7 วัน หลังติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง จึงยัง ไม่ถูกใช้เป็นวิธีตรวจคัดกรองทั่วไปในสถานพยาบาล แต่จะใช้ในกรณีเฉพาะ เช่น การตรวจเลือดของผู้บริจาคโลหิต หรือการยืนยันผลในกรณีที่ผลตรวจอื่นให้ข้อมูลไม่ชัดเจน

5. การตรวจด้วยตนเองแบบ HIV Self-Test

ในยุคที่การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายมากขึ้น การตรวจเอชไอวีด้วยตัวเองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ข้อดีคือสามารถตรวจได้ด้วยตนเองที่บ้าน รู้ผลได้รวดเร็ว ปลอดภัย และรักษาความเป็นส่วนตัวได้อย่างดี โดยปัจจุบันมีให้เลือก 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

  1. ตรวจด้วยเลือดจากปลายนิ้ว – ให้ผลแม่นยำสูง ใกล้เคียงกับการตรวจในห้องปฏิบัติการ
  2. ตรวจด้วยน้ำลาย – สะดวก ไม่ต้องเจาะเลือด และเหมาะสำหรับผู้ที่กลัวเข็ม

ทั้งสองแบบมีการใช้งานง่าย มีคู่มือชัดเจน และควรอ่านผลตามเวลาที่ระบุเพื่อให้ได้ความถูกต้องสูงสุด

การป้องกันการติดเชื้อ HIV อย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันการติดเชื้อ HIV อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าในปัจจุบันการรักษาจะมีประสิทธิภาพสูง แต่ “การป้องกัน” ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยมีแนวทางหลักที่แนะนำดังนี้

  1. ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยเป็นวิธีป้องกันเชื้อ HIV ที่ได้ผลสูงสุดเมื่อใช้อย่างสม่ำเสมอ และถูกวิธี
  2. ใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ใช้สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ผู้มีคู่นอนหลายคน หรือผู้ที่มีคู่นอนผลเลือดต่าง การใช้ PrEP อย่างถูกวิธีสามารถลดความเสี่ยงได้เกือบ 100%
  3. ใช้ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ใช้หลังสัมผัสความเสี่ยง เช่น เข็มตำ หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ต้องรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง หลังเกิดเหตุ และทานต่อเนื่อง 28 วัน
  4. ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เป็นการป้องกันพื้นฐานที่สำคัญในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด
  5. ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ การตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ทุก 6 – 12 เดือน ช่วยให้รู้สถานะของตนเอง และเริ่มต้นการรักษาได้ทันเวลา

การรักษาและการควบคุมเชื้อ HIV

แนวทางการรักษาหลักในปัจจุบัน คือ การใช้ ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy: ART) ซึ่งประกอบด้วยยาหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของไวรัสในแต่ละขั้นตอน การรักษาด้วย ART อย่างต่อเนื่องสามารถช่วยให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนตรวจไม่พบ หรือที่เรียกว่า Undetectable เมื่ออยู่ในภาวะนี้ ผู้ติดเชื้อไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นผ่านเพศสัมพันธ์ได้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ และสาธารณสุขทั่วโลก นอกจากนี้ การรักษาด้วย ART ยังช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันกลับมาแข็งแรง ลดโอกาสเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีอายุยืนยาวเทียบเท่าคนทั่วไป

การอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อ HIV อย่างเข้าใจ

หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ของการต่อสู้กับ HIV คือ “การตีตรา” และ “การเลือกปฏิบัติ” ผู้ติดเชื้อไม่ควรถูกกีดกันจากสังคม การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจจะช่วยให้พวกเขามีกำลังใจในการรักษาและดูแลสุขภาพต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และมีผลตรวจไวรัสในเลือด “ตรวจไม่พบ” ไม่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ การให้ความรู้แก่สังคมเรื่องนี้คือก้าวสำคัญในการลดอคติ และสร้างสังคมที่เท่าเทียม

ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ U=U และคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ

ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ U=U และคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ

แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) คือ การยืนยันทางการแพทย์ว่า หากผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอจนปริมาณไวรัสในเลือดต่ำกว่าระดับตรวจพบ จะไม่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ แนวคิดนี้เปลี่ยนมุมมองของโลกต่อผู้ติดเชื้อจาก “กลุ่มเสี่ยง” มาเป็น “ผู้ที่ควบคุมเชื้อได้” ผู้ติดเชื้อที่มีวินัยในการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำ และใช้ชีวิตอย่างสมดุล สามารถเรียน ทำงาน และสร้างครอบครัวได้อย่างปกติ

บทบาทของคลินิกและหน่วยบริการในประเทศไทย

ประเทศไทยมีคลินิกและหน่วยบริการสุขภาพจำนวนมากที่ให้บริการ ตรวจและรักษาเอชไอวี (HIV) อย่างปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานการดูแลที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวและความลับของผู้รับบริการ คลินิกเหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญในการสร้างพื้นที่ที่เป็นมิตร ปราศจากการตีตรา และเปิดโอกาสให้ทุกคน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เข้าถึงการตรวจ การป้องกัน และการรักษาได้อย่างสะดวกและเท่าเทียม ปัจจุบัน หน่วยบริการหลายแห่งได้พัฒนาแนวทางให้สอดคล้องกับแนวคิด “บริการสุขภาพที่เป็นมิตรและไม่เลือกปฏิบัติ” เพื่อให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถเข้ารับการตรวจ HIV ได้โดยไม่รู้สึกอายหรือกังวล ทั้งยังได้รับคำแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และพร้อมให้การดูแลอย่างครอบคลุม ดังนั้น การเข้ารับการตรวจ HIV จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือควรถูกหลีกเลี่ยงอีกต่อไป แต่คือ การแสดงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเองและความปลอดภัยของผู้อื่น อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญสู่การป้องกันการแพร่เชื้อในสังคมอย่างยั่งยืน

อ่านบทความที่น่าสนใจ

HIV คือ โรคที่สามารถควบคุมได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง การรู้เท่าทันสาเหตุ อาการ วิธีตรวจ และแนวทางป้องกัน คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้สังคมก้าวข้ามความกลัว และอคติไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง

แหล่งที่มา (References)

  • World Health Organization (WHO). HIV/AIDS Fact Sheet. Updated March 2024. Retrieved from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/hiv-aids
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). HIV Basics — Overview, Transmission, Prevention, and Treatment. Updated February 2024. Retrieved from https://www.cdc.gov/hiv/basics
  • UNAIDS. Global HIV & AIDS Statistics — Fact Sheet 2024. Geneva: Joint United Nations Programme on HIV/AIDS (UNAIDS); 2024. Retrieved from https://www.unaids.org
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2567). แนวทางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ประเทศไทย พ.ศ. 2567. กรุงเทพฯ: สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save