
โรคหนองใน เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยในประเทศไทยและทั่วโลก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Neisseria gonorrhoeae ซึ่งสามารถติดต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก ความรุนแรงของโรคนี้ขึ้นอยู่กับเพศของผู้ติดเชื้อ สภาพร่างกาย การเข้ารับการตรวจและการรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในผู้หญิงและผู้ชายซึ่งมีอาการแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง รวมถึงภาวะมีบุตรยากได้ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความแตกต่างของอาการ โรคหนองใน Gonorrhea ในผู้หญิงและผู้ชาย พร้อมอธิบายเหตุผลที่ทำไมหลายคนจึงไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ รวมถึงแนวทางการตรวจ การรักษา และการป้องกันที่ถูกต้อง
โรคหนองใน Gonorrhea คืออะไร?
หนองใน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่แพร่กระจายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อ Neisseria gonorrhoeae สามารถก่อให้เกิดการอักเสบในเยื่อบุของอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ อวัยวะเพศ ท่อปัสสาวะ ปากมดลูก ทวารหนัก ช่องปาก และดวงตา โดยเฉพาะหากมีการสัมผัสสารคัดหลั่งที่มีเชื้อโรคอยู่ โรคนี้มักจะไม่แสดงอาการในช่วงแรก จึงทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองเป็นพาหะและยังคงแพร่เชื้อต่อไปโดยไม่ตั้งใจ
ทำไมโรคหนองใน Gonorrhea ถึงน่ากังวล?

แม้โรคหนองใน Gonorrhea จะสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดผลกระทบระยะยาวที่ร้ายแรงได้ เช่น ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease) ในผู้หญิง หรือภาวะมีบุตรยากในทั้งสองเพศ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เอชไอวี (HIV) อีกด้วย ปัญหาที่สำคัญคือผู้ป่วยหลายรายไม่มีอาการ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ และไม่เข้ารับการรักษา จึงส่งผลให้โรคนี้ยังคงแพร่ระบาดในระดับสูง
อาการของโรคหนองใน ในผู้หญิง
ผู้หญิงที่ติดเชื้อโรคหนองใน Gonorrhea มักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก หรือมีอาการที่คล้ายคลึงกับโรคติดเชื้ออื่น ๆ ในระบบสืบพันธุ์ เช่น เชื้อราในช่องคลอด หรือการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วไป ซึ่งอาจทำให้การวินิจฉัยผิดพลาด หรือไม่ไปพบแพทย์ทันที เมื่อมีอาการ มักแสดงออกดังนี้
- มีตกขาวมากผิดปกติ หรือมีกลิ่นเหม็น
- ปวดหรือแสบเวลาปัสสาวะ
- ปวดท้องน้อยแบบเรื้อรัง
- เลือดออกกะปริบกะปรอยนอกเหนือจากช่วงมีประจำเดือน
- เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
หากเชื้อแพร่ไปยังท่อนำไข่ อาจเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรงที่อาจทำให้มีบุตรยาก หรือเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกในอนาคต
อาการของโรคหนองใน ในผู้ชาย
ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายที่ติดเชื้อโรคหนองใน Gonorrhea มักจะแสดงอาการชัดเจนและรุนแรงภายในไม่กี่วันหลังรับเชื้อ โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศและท่อปัสสาวะ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- มีหนองสีเหลืองหรือเขียวไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ
- ปัสสาวะแสบขัดหรือปวดแสบเวลาถ่ายปัสสาวะ
- ปวดหรือบวมบริเวณอัณฑะ
- คันหรือรู้สึกระคายเคืองในท่อปัสสาวะ
หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา เชื้ออาจลุกลามไปยังลูกอัณฑะ และอาจทำให้เกิดภาวะอัณฑะอักเสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะมีบุตรยากในเพศชาย
ความแตกต่างของอาการในผู้หญิงและผู้ชาย
แม้จะเป็นโรคเดียวกัน แต่ลักษณะอาการในผู้หญิงและผู้ชายมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยทั่วไป ผู้ชายมักแสดงอาการเร็วและรุนแรงกว่า ทำให้ตรวจพบและเข้ารับการรักษาเร็วกว่า ในขณะที่ผู้หญิงมักไม่มีอาการ หรือมีอาการที่แยกไม่ออกจากโรคอื่น ทำให้การวินิจฉัยล่าช้า และมีโอกาสแพร่เชื้อต่อได้มากกว่า อีกประเด็นสำคัญ คือ เชื้อหนองใน Gonorrhea สามารถแพร่ไปยังอวัยวะอื่นได้ เช่น ปาก ทวารหนัก หรือดวงตา ซึ่งในทั้งสองเพศสามารถติดเชื้อในบริเวณเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศหลากหลาย
การติดเชื้อในช่องปากและทวารหนัก
โรคหนองใน ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศเท่านั้น แต่ยังสามารถติดเชื้อในช่องปากและทวารหนักได้อีกด้วย ซึ่งพบได้ในทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) การติดเชื้อในช่องปาก อาจทำให้เกิดอาการเจ็บคอหรืออักเสบบริเวณต่อมทอนซิล ส่วนการติดเชื้อที่ทวารหนัก มักมีอาการดังนี้
- ปวดหรือคันที่ทวารหนัก
- มีมูกหรือเลือดปนออกมาขณะขับถ่าย
- รู้สึกเจ็บหรือแสบขณะขับถ่ายอุจจาระ
ทั้งนี้ การติดเชื้อในบริเวณเหล่านี้มักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตนเอง และต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยเท่านั้น
การตรวจวินิจฉัย โรคหนองใน Gonorrhea

การตรวจหาเชื้อโรคหนองใน Gonorrhea มีหลายวิธี โดยแพทย์จะเลือกใช้ตามลักษณะของอาการและอวัยวะที่สงสัยว่าติดเชื้อ วิธีที่ใช้บ่อย ได้แก่
- การเก็บตัวอย่างหนองหรือสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก หรือทวารหนัก
- การตรวจปัสสาวะ (NAATs) ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็วและแม่นยำ
- การเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งเพื่อดูการเจริญของเชื้อ Neisseria gonorrhoeae
สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการ การตรวจแบบคัดกรองยังคงจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ
การรักษา โรคหนองใน Gonorrhea
การรักษาหลักของโรคหนองใน Gonorrhea คือการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งต้องได้รับตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น ปัจจุบันแนวทางการรักษาในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย นิยมใช้ยาฉีดเซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) ร่วมกับยารับประทาน เช่น อะซิโทรมัยซิน (Azithromycin) การรักษาอย่างถูกต้องและครบถ้วนสามารถกำจัดเชื้อได้ 100% แต่สิ่งสำคัญคือต้องรักษาพร้อมกับคู่นอน และงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซ้ำ
ภาวะแทรกซ้อนหากไม่รักษา
หากปล่อยให้เชื้อหนองในลุกลาม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพระยะยาวได้ เช่น
- ภาวะมีบุตรยากในทั้งสองเพศ
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
- อุ้งเชิงกรานอักเสบ
- การติดเชื้อในกระแสเลือด
- การเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV
ดังนั้น การตรวจและรักษาโดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงในอนาคต
การป้องกันโรคหนองใน Gonorrhea

การป้องกันโรคหนองใน Gonorrhea สามารถทำได้โดย
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- ตรวจ STI เป็นประจำโดยเฉพาะเมื่อมีคู่นอนใหม่
- หยุดการมีเพศสัมพันธ์ทันทีหากสงสัยว่ามีอาการผิดปกติ
- พูดคุยเปิดใจกับคู่นอนเรื่องสุขภาพทางเพศ
แม้โรคหนองใน Gonorrhea จะรักษาให้หายได้ แต่การติดเชื้อซ้ำสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ หากพฤติกรรมทางเพศยังไม่เปลี่ยนแปลง
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
โรคหนองใน Gonorrhea เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังพบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อาการของโรคนี้แตกต่างกันระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้บางรายไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ การรู้เท่าทันอาการ และเข้ารับการตรวจรักษาโดยเร็ว เป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมการระบาด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว การให้ความรู้เรื่องสุขภาพทางเพศ และการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย จะช่วยให้สังคมโดยรวมลดการแพร่ระบาดของโรคหนองใน Gonorrhea และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืน