หนองในเทียม อาการ เป็นอย่างไร? รู้ทันโรคก่อนลุกลาม

หนองในเทียม อาการ เป็นอย่างไร รู้ทันโรคก่อนลุกลาม

“หนองในเทียม” หรือที่ในทางการแพทย์เรียกว่า Chlamydia (คลามัยเดีย) เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในวัยรุ่นและวัยทำงาน โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Chlamydia trachomatis ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก และทางทวารหนัก ปัญหาของหนองในเทียม คือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่มีอาการในระยะแรกเริ่ม ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อ จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของอุ้งเชิงกราน ภาวะมีบุตรยาก หรือการติดเชื้อที่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ ดังนั้น การรู้เท่าทัน “หนองในเทียม อาการ” และการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

หนองในเทียม คืออะไร และติดต่อได้อย่างไร ?

โรคหนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือสามารถเจริญเติบโตได้เฉพาะภายในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้จากการมีเพศสัมพันธ์ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด ช่องปาก หรือทวารหนัก รวมทั้งการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันโดยไม่ได้ทำความสะอาด ผู้หญิงสามารถติดเชื้อจากอวัยวะเพศชาย ของผู้ชายที่มีเชื้อ และในทางกลับกันผู้ชายก็สามารถติดจากผู้หญิงได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอด ซึ่งอาจทำให้ทารกเกิดภาวะตาอักเสบหรือปอดอักเสบได้ ความน่ากลัวของหนองในเทียม อยู่ที่การแพร่เชื้อได้ง่ายมาก แม้จะไม่มีการหลั่งหรือถึงจุดสุดยอดก็ตาม เพียงแค่มีการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เชื้อก็สามารถเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายได้

หนองในเทียม อาการ เป็นอย่างไร?

อาการของหนองในเทียม ในผู้ชายและผู้หญิง มีความแตกต่างในรายละเอียดบางประการ และอาจปรากฏในช่วงเวลาที่แตกต่างกันหลังจากการติดเชื้อ

หนองในเทียม อาการ ในผู้หญิง

อาการของหนองในเทียมในผู้หญิง อาจแตกต่างกันไป บางรายไม่มีอาการเลย ขณะที่บางคนอาจเริ่มรู้สึกผิดปกติหลังจากติดเชื้อประมาณ 1–3 สัปดาห์ โดยทั่วไปแล้วอาการในผู้หญิงมักเริ่มจาก ตกขาวผิดปกติ หรือ ปวดท้องน้อยเล็กน้อย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของการติดเชื้อราในช่องคลอดหรือการอักเสบทั่วไป แต่หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะลุกลามขึ้นไปยังมดลูกและท่อนำไข่ ก่อให้เกิด ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงไทย ผู้หญิงบางรายอาจมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือมีประจำเดือนมาผิดปกติ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการแสบขณะปัสสาวะ หรือรู้สึกปวดบริเวณท้องน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงในช่วงแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ และปล่อยให้โรคลุกลามโดยไม่ตั้งใจ

หนองในเทียม อาการ ในผู้ชาย

ผู้ชายที่ติดเชื้อหนองในเทียม มักเริ่มมีอาการ ภายใน 1–2 สัปดาห์ หลังจากได้รับเชื้อ อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือ แสบขณะปัสสาวะ และ มีของเหลวขุ่นหรือลักษณะคล้ายน้ำหนองไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ในบางกรณี ผู้ชายอาจมีอาการปวดหรือบวมบริเวณอัณฑะ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการอักเสบของหลอดนำอสุจิ (Epididymitis) หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากในอนาคตได้เช่นกัน นอกจากนี้ หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เชื้ออาจทำให้เกิดการอักเสบของทวารหนัก มีอาการเจ็บ แสบ หรือมีเลือดออกหลังขับถ่าย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นริดสีดวง

“ChatLove2test"

หนองในเทียม อาการ ในการติดเชื้อบริเวณอื่นๆ

หนองในเทียม ไม่ได้เกิดเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศเท่านั้น แต่ยังสามารถติดที่บริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะช่องปากและทวารหนัก ซึ่งเป็นช่องทางที่มักถูกมองข้าม หากติดเชื้อทางช่องปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการ เจ็บคอเรื้อรัง หรือ มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต แต่ไม่มีไข้สูง อาการคล้ายการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ส่วนการติดเชื้อที่ทวารหนักอาจทำให้เกิด อาการคัน เจ็บ หรือมีเลือดออกหลังการขับถ่าย ซึ่งอาจลุกลามเป็นการอักเสบเรื้อรังได้หากไม่รักษา ในกรณีของกลุ่มชายรักชาย (MSM) การติดเชื้อหนองในเทียมที่ทวารหนัก พบได้ค่อนข้างบ่อย การตรวจคัดกรองเฉพาะจุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม

การตรวจวินิจฉัยหนองในเทียม

วิธีการตรวจหนองในเทียม ที่แม่นยำที่สุดในปัจจุบัน คือ การตรวจด้วยเทคนิค Nucleic Acid Amplification Test (NAAT) ซึ่งสามารถตรวจหา DNA ของเชื้อได้โดยตรงจากตัวอย่างปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ ช่องปาก หรือทวารหนัก ผลตรวจของวิธีนี้มีความแม่นยำสูงกว่า 95% และสามารถตรวจหาเชื้อได้แม้ในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ป่วยมักยังไม่มีอาการใด ๆ การตรวจสามารถทำได้ในโรงพยาบาล คลินิกสุขภาพทางเพศ หรือคลินิกชุมชนที่ได้รับการรับรอง รวมทั้งสามารถจองการตรวจผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Love2Test ที่รวบรวมสถานที่ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีมาตรฐานทั่วประเทศ เพื่อความสะดวกและความเป็นส่วนตัวของผู้รับบริการ

“PrEPLove2test"

ภาวะแทรกซ้อนจากหนองในเทียม

หนึ่งในอันตรายที่สำคัญของหนองในเทียมคือการเกิด ภาวะมีบุตรยาก ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงที่ติดเชื้อซ้ำหลายครั้งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดพังผืดในท่อนำไข่ ทำให้ไข่ไม่สามารถเคลื่อนเข้าสู่โพรงมดลูกได้ ขณะที่ผู้ชายอาจเกิดการอุดตันของหลอดนำอสุจิ ส่งผลให้จำนวนอสุจิลดลงหรือไม่สามารถปฏิสนธิได้ นอกจากนี้ การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษายังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้ง่ายขึ้น เพราะการอักเสบที่เกิดขึ้นทำให้เยื่อบุผิวหนังอ่อนแอ เชื้อไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายได้สะดวกขึ้น สำหรับหญิงตั้งครรภ์ หนองในเทียมอาจส่งผลต่อทารก ทำให้คลอดก่อนกำหนด หรือทารกติดเชื้อที่ตาหรือปอดหลังคลอดได้ จึงควรตรวจคัดกรองโรคนี้ในระหว่างตั้งครรภ์อย่างเคร่งครัด

แนวทางการรักษาโรคหนองในเทียม

แนวทางการรักษาโรคหนองในเทียม

หนองในเทียมเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไป แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือฉีด เพื่อกำจัดเชื้อ Chlamydia trachomatis ออกจากร่างกายให้หมด ซึ่งยาที่นิยมใช้ ได้แก่ Azithromycin หรือ Doxycycline ทั้งนี้ผู้ป่วยควรรับประทานยาให้ครบตามกำหนด แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำหรือการดื้อยาในอนาคต ในระหว่างการรักษา ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับการยืนยันจากแพทย์ว่าหายขาดแล้ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น และควรชวนคู่นอนมารับการตรวจรักษาด้วย เพราะหากอีกฝ่ายยังมีเชื้ออยู่ อาจทำให้ติดกลับไปกลับมาได้ หลังจาก การรักษาหนองในเทียม ครบตามกำหนด แพทย์อาจแนะนำให้กลับมาตรวจซ้ำภายใน 3 เดือน เพื่อยืนยันว่าเชื้อหมดจริง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือเคยติดเชื้อมาก่อน

การป้องกันหนองในเทียม

หนองในเทียม สามารถป้องกันได้ง่าย หากเข้าใจและปฏิบัติอย่างถูกต้อง การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ คือ วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความเสี่ยง นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ควรเข้ารับการตรวจอย่างน้อยปีละ 1–2 ครั้ง เพื่อให้สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การพูดคุยอย่างเปิดเผยกับคู่รักเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วยสร้างความเข้าใจ และลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในความสัมพันธ์

หนองในเทียมกับการตรวจ STD แบบครบวงจร

ในปัจจุบัน การตรวจหนองในเทียมมักรวมอยู่ในโปรแกรมการตรวจ STD แบบครบวงจร ซึ่งรวมถึงการตรวจโรคหนองในแท้ (Gonorrhea) ซิฟิลิส เอชไอวี และไวรัสตับอักเสบบี/ซี การตรวจแบบครบชุดช่วยให้เห็นภาพรวมของสุขภาพทางเพศอย่างครอบคลุม และช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง การจองตรวจผ่านระบบออนไลน์ Love2Test ยังเพิ่มความสะดวก เพราะสามารถเลือกคลินิกที่ใกล้ที่สุด นัดหมายล่วงหน้า ด้วยเทคโนโลยีและการบริการที่เป็นมิตร ทำให้การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ

ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองหนองในเทียม ?

ใครบ้างที่ควรตรวจคัดกรองหนองในเทียม

แม้โรคหนองในเทียมจะรักษาให้หายได้ แต่ปัญหาสำคัญคือผู้ติดเชื้อจำนวนมากมักไม่แสดงอาการ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังแพร่เชื้ออยู่ การตรวจคัดกรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ดังนี้

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ปาก หรือทวารหนัก
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือ เปลี่ยนคู่นอนใหม่บ่อยครั้ง เพราะโอกาสได้รับเชื้อจะสูงขึ้นตามจำนวนคู่นอน
  • ผู้ที่มีอาการผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ เช่น แสบขณะปัสสาวะ มีตกขาวผิดปกติ หรือมีหนองไหลออกจากอวัยวะเพศ
  • คู่ของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อหนองในเทียม ควรตรวจและรับการรักษาพร้อมกัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  • หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงฝากครรภ์แรก ๆ เพราะหากติดเชื้อ อาจส่งผลต่อทารก เช่น การติดเชื้อที่ตา หรือปอดอักเสบหลังคลอด

การตรวจคัดกรอง สามารถทำได้ง่าย ไม่เจ็บ และใช้เวลาไม่นาน โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างจากปัสสาวะ หรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูก ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนัก ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมทางเพศของแต่ละบุคคล

อ่านบทความที่น่าสนใจ

หนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย และมักไม่มีอาการในระยะแรกเริ่ม การรู้เท่าทัน “อาการ หนองในเทียม” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้สามารถตรวจพบ และรักษาได้ทันเวลา ไม่ว่าคุณจะมีอาการผิดปกติหรือไม่ การตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอคือหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากต้องการตรวจอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว สามารถจองการตรวจผ่าน Love2Test ซึ่งรวบรวมสถานที่ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ

แหล่งอ้างอิง (References)

  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พ.ศ. 2567
  • World Health Organization (WHO). Chlamydia trachomatis – Key Facts and Treatment Guidelines. 2024.
  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Sexually Transmitted Infections Treatment Guidelines – Chlamydia. 2023.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save