
“ซิฟิลิส” (Syphilis) คือ หนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่กลับมาแพร่ระบาดหนักอีกครั้งในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงสูง เช่น มีคู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่เคยตรวจสุขภาพทางเพศมาก่อน การตรวจซิฟิลิสจึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนป่วย แต่เป็นเรื่องของ “การดูแลตัวเอง” และ “การรับผิดชอบต่อผู้อื่น” อย่างแท้จริง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับโรคซิฟิลิสให้มากขึ้น ตั้งแต่การติดเชื้อ อาการแต่ละระยะ วิธีการตรวจที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษา การป้องกัน และเหตุผลที่คุณควร “ตรวจ ซิฟิลิส” อย่างสม่ำเสมอแม้จะไม่มีอาการใด ๆ เลย
ซิฟิลิสคืออะไร ? ทำไมถึงอันตราย
ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum สามารถติดต่อกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอด ทวารหนัก หรือแม้แต่ทางปาก สิ่งที่ทำให้โรคนี้อันตรายคือ อาการที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในระยะแรกซึ่งอาจมีแผลเล็ก ๆ ที่ไม่เจ็บแล้วหายไปเอง ทำให้หลายคนคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่ในความเป็นจริง เชื้ออาจกำลังแพร่กระจายไปยังอวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ หรือระบบประสาท หากไม่ได้รับการรักษา ซิฟิลิสสามารถกลายเป็นโรคเรื้อรังที่ทำลายสุขภาพได้อย่างร้ายแรง และอาจนำไปสู่ภาวะพิการหรือเสียชีวิตได้ในที่สุด
ใครบ้างที่ควร ตรวจ ซิฟิลิส ?

การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งประกอบด้วย
- ผู้ที่มีคู่ครองหลายคน หรือเปลี่ยนคู่ครองบ่อย
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM)
- ผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
- ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- หญิงมีครรภ์ (ควรตรวจตั้งแต่ช่วงฝากครรภ์)
- ผู้ที่มีอาการผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศหรือผิวหนัง
การไม่มีอาการไม่ได้หมายความว่าไม่ติดเชื้อ ซิฟิลิสสามารถแฝงตัวอยู่ในร่างกายได้นานโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวและอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่อไป การตรวจคัดกรองจึงมีความจำเป็นแม้ว่าจะรู้สึกว่าสุขภาพแข็งแรงดี เพื่อให้มั่นใจในสุขภาพของตนเองและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
อาการของโรคซิฟิลิสในแต่ละระยะ
โรคซิฟิลิส มีอาการที่เปลี่ยนไปตามระยะการติดเชื้อ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ระยะ ได้แก่ ระยะแรกจะมีแผลเดี่ยวหรือหลายแผลบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก ลักษณะแผลไม่เจ็บและหายได้เองภายใน 3 – 6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา ระยะที่สองจะเริ่มมีอาการกระจายทั่วร่างกาย เช่น ผื่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ผมร่วงหรือเจ็บคอ ระยะแฝงจะไม่มีอาการใด ๆ เชื้อซ่อนอยู่ในร่างกายเป็นเดือนหรือปี หากไม่รักษาอาจเข้าสู่ระยะสุดท้าย ระยะสุดท้ายเป็นช่วงที่อันตรายมากที่สุด เพราะอาจเกิดความเสียหายต่อสมอง หัวใจ ตับ ไขสันหลัง หรืออวัยวะอื่น ๆ ทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้
วิธีตรวจซิฟิลิสในปัจจุบัน
ในประเทศไทยมีวิธีการตรวจซิฟิลิสหลัก ๆ ที่ใช้กันอยู่ เช่น การตรวจเลือดแบบคัดกรอง เช่น RPR หรือ VDRL ซึ่งใช้ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อได้รับเชื้อ หากผลเป็นบวกจะต้องตรวจยืนยันอีกครั้งด้วยวิธี TPHA หรือ FTA-ABS ซึ่งเป็นการตรวจเฉพาะเจาะจงเพื่อตรวจสอบการติดเชื้อจริง นอกจากนี้ยังมีการตรวจแบบเร่งด่วนด้วยชุดตรวจ Rapid Test ที่สามารถรู้ผลได้ภายใน 15–20 นาที นิยมใช้ในคลินิกชุมชนหรือพื้นที่ห่างไกล ในกรณีที่มีแผลชัดเจน แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจด้วยวิธี PCR เพื่อระบุเชื้อจากแผลโดยตรง ผลตรวจจะช่วยระบุว่าคุณมีการติดเชื้อซิฟิลิสหรือไม่ และอยู่ในระยะใด เพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมที่สุด
ตรวจ ซิฟิลิส ต้องเตรียมตัวยังไง ?

โดยทั่วไปแล้ว การตรวจซิฟิลิสไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรือเตรียมตัวพิเศษ สิ่งที่ควรทำคือแจ้งพฤติกรรมเสี่ยงที่ผ่านมากับเจ้าหน้าที่ และทำใจให้ผ่อนคลายขณะเจาะเลือดเพื่อการวิเคราะห์ หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่ามีแผล ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อวางแผนการตรวจที่เหมาะสมกับอาการ หลายคลินิกอาจมีการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ควบคู่กัน เช่น HIV หนองใน แผลเริม หรือไวรัส HPV เพื่อให้ได้ผลตรวจที่ครอบคลุมและป้องกันการวินิจฉัยผิดพลาด
การรักษาซิฟิลิส หายได้จริงหรือไม่ ?
โรคซิฟิลิส สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบเร็ว และได้รับยาที่เหมาะสม ยามาตรฐานที่ใช้ คือ Penicillin G ซึ่งฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยปริมาณ และระยะเวลาการรักษาจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค หากแพ้เพนิซิลลิน แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาอื่น เช่น Doxycycline หรือ Azithromycin แทน การรักษาในระยะเริ่มต้นมักจะได้ผลดี และหายสนิทโดยไม่ทิ้งผลกระทบ แต่หากเป็นระยะท้าย ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจถาวร และไม่สามารถรักษากลับคืนได้เต็มที่ ดังนั้น การตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ตรวจ ซิฟิลิส บ่อยแค่ไหนถึงจะปลอดภัย
ความถี่ในการตรวจ ควรพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีคู่นอนประจำ และใช้ถุงยางอย่างสม่ำเสมอ ควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ส่วนผู้ที่มีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ควรตรวจทุก 3 ถึง 6 เดือน หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ชายรักชายหรือผู้ให้บริการทางเพศ ควรตรวจทุก 3 เดือน การตรวจอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้คุณมั่นใจในสุขภาพของตนเอง และยังเป็นการรับผิดชอบต่อคู่นอนหรือคนใกล้ชิดอีกด้วย
ป้องกันซิฟิลิสได้อย่างไร ?
ซิฟิลิสสามารถป้องกันได้ ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือช่องปาก ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และพูดคุยเรื่องสุขภาพทางเพศกับคู่นอนอย่างตรงไปตรงมา หากสงสัยว่ามีความเสี่ยงควรงดการมีเพศสัมพันธ์ และเข้ารับการตรวจทันที การป้องกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความตระหนักรู้และความใส่ใจในตัวเองและผู้อื่น
ตรวจ ซิฟิลิส ที่ไหนได้บ้าง ?

ในประเทศไทยมีสถานที่หลากหลายที่เปิดให้บริการตรวจซิฟิลิส เช่น โรงพยาบาลรัฐทั่วไปที่มักมีค่าบริการต่ำหรือไม่มีค่าใช้จ่าย คลินิกเฉพาะทาง เช่น คลินิกนิรนาม สภากาชาดไทย ฮักษาคลินิก เชียงใหม่ หรือคลินิกชุมชนเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+ ที่ให้บริการเป็นมิตร บางแห่งยังมีบริการปรึกษาก่อนตรวจ และหลังตรวจอย่างครบวงจร นอกจากนี้ ยังมีบริการออนไลน์ เช่น Love2Test.org ที่ให้คุณสามารถจองคิวตรวจได้ล่วงหน้า ตลอด 24 ชั่วโมง และเลือกรับบริการจากคลินิกที่คุณสะดวก
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
การตรวจซิฟิลิสคือการดูแลตัวเองในยุคที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กลับมาเป็นปัญหาสำคัญในสังคม อย่ารอให้มีอาการหรือรอจนเกิดผลกระทบร้ายแรง เพราะการไม่มีอาการไม่ได้แปลว่าไม่มีเชื้อ การตรวจเพียงหนึ่งครั้งอาจช่วยให้คุณรักษาได้ทันเวลา และยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อคนที่คุณรักและอยู่ใกล้ชิด สุขภาพทางเพศคือเรื่องของทุกคน ไม่ใช่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การเลือกตรวจซิฟิลิสคือการเลือกดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน และช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และไม่ต้องกังวลกับอนาคต
แหล่งอ้างอิง
- องค์การอนามัยโลก (WHO). ข้อมูลเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs). https://www.who.int
- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC). ข้อมูลเกี่ยวกับโรคซิฟิลิส. https://www.cdc.gov
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. โรคซิฟิลิส. https://ddc.moph.go.th