ตรวจเอชไอวี

ตรวจเอชไอวี

ถุงยางอนามัย สวมเถอะ! เรื่องจำเป็น

ถุงยางอนามัย สวมเถอะ! เรื่องจำเป็น

ถุงยางอนามัย เป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ใช้ในการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ มักทำจากน้ำยางยูรีเทน โพลีไอโซพรีน หรือหนังแกะที่ออกแบบมา เพื่อให้ครอบคลุมองคชาต หากใช้อย่างถูกต้อง และเป็นประจำสม่ำเสมอ ถุงยางอนามัยคือหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ ถุงยางอนามัยมีจำหน่ายอยู่ทั่วไปในร้านขายยา ร้านขายของชำ และออนไลน์ มีให้เลือกหลายขนาด สี และพื้นผิว เพื่อให้เหมาะกับความชอบส่วนบุคคล

ทำไมต้องใส่ ถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ควรสวมบนองคชาตขณะมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด มีเหตุผลสำคัญหลายประการที่ควรสวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ คือ

  • การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs): ถุงยางอนามัยเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งรวมถึง เอชไอวี หนองในเทียม หนองใน และซิฟิลิส ฯลฯ
  • การป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์: ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้และสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้หากใช้อย่างต่อเนื่องและถูกต้อง
  • ความสะดวกและการเข้าถึง: ถุงยางอนามัยมีจำหน่ายทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งยาและสามารถพกติดตัวได้ง่าย หยิบใช้ได้สะดวกเมื่อถึงสถานการณ์ที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์
  • การป้องกันคู่นอนทั้งสองฝ่าย: ถุงยางอนามัยให้ความคุ้มครองคู่นอนทั้งสองฝ่ายในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
  • เพิ่มความสุขทางเพศ: คู่รักหลายคนพบว่าการใช้ถุงยางอนามัยช่วยลดความวิตกกังวลและส่งเสริมการสื่อสารเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและความชอบทางเพศซึ่งจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ทางเพศของพวกเขา
  • ช่วยการวางแผนครอบครัว: การวางแผนครอบครัว คือการควบคุมจำนวน และระยะห่างของบุตรในครอบครัว ให้ประโยชน์มากมาย ได้แก่ :
  • สุขภาพแม่และเด็กดีขึ้น: การวางแผนครอบครัวช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของแม่และเด็กโดยทำให้ผู้หญิงสามารถวางแผนและเว้นระยะการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
  • ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น: การวางแผนครอบครัวสามารถช่วยให้ครอบครัวได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถลงทุนในการศึกษาและการฝึกอาชีพ และลดภาระทางการเงินในการดูแลเด็ก
  • การเพิ่มขีดความสามารถของผู้หญิง: การวางแผนครอบครัวทำให้ผู้หญิงสามารถควบคุมอนามัยการเจริญพันธุ์และชีวิตของตนเองได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงสถานะทางสังคมและโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงานที่มากขึ้น
  • การพัฒนาคุณภาพชีวิต: การวางแผนครอบครัวสามารถปรับปรุงสุขภาพร่างกายและจิตใจและเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตครอบครัวโดยการช่วยให้คู่รักสามารถวางแผนครอบครัวและบรรลุขนาดครอบครัวที่ต้องการ
แล้วถ้าไม่ใส่ ถุงยางอนามัย เสี่ยงโรคอะไรบ้าง

แล้วถ้าไม่ใส่ถุงยาง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?

หากคุณไม่สวมถุงยางอนามัยระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ คุณอาจเสี่ยงต่อโรคหลายประการ ได้แก่:

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ถุงยางอนามัยเป็นเกราะป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมทางเพศ หากไม่มีถุงยางอนามัย ความเสี่ยงในการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะสูงขึ้น เช่น หนองในเทียม หนองใน ซิฟิลิส เริม และเอชไอวี
  • การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์โดยการป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าสู่ไข่ หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ก็มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้
  • ความทุกข์ทางอารมณ์ หากคุณมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันและกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือการตั้งครรภ์ซึ่งอาจทำให้เกิดความทุกข์ทางอารมณ์และความวิตกกังวล

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าถุงยางฯ ไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100% ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือการตั้งครรภ์ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก หากคุณมีเพศสัมพันธ์ ขอแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง และเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ และพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับทางเลือกในการคุมกำเนิดเพื่อช่วยปกป้องสุขภาพทางเพศของคุณ

วิธีเลือกใช้ ถุงยางอนามัย ที่ถูกต้อง

การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องเป็นขั้นตอนสําคัญในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ต่อไปนี้เป็นคําแนะนําทีละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีใช้ถุงยางอนามัย:

  • ตรวจสอบวันหมดอายุ: ก่อนเปิดห่อถุงยางอนามัย ให้ตรวจสอบวันหมดอายุเพื่อให้แน่ใจว่ายังไม่หมดอายุ
  • เปิดถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง: ใช้นิ้วเปิดถุงยางอนามัยอย่างระมัดระวัง ระวังอย่าให้เล็บหรือฟันของถุงยางอนามัยเสียหาย
  • บีบปลาย: จับถุงยางอนามัยที่ส่วนปลาย บีบส่วนปลายเพื่อให้เหลือที่ว่างด้านท้ายเพื่อเก็บน้ำอสุจิ
  • ม้วนไว้: วางถุงยางอนามัยที่ปลายองคชาติที่แข็งตัวแล้วม้วนลงไปที่ฐานขององคชาต ตรวจสอบให้แน่ใจว่าถุงยางอนามัยคลี่ออกจนสุดและพอดี
  • ใช้สารหล่อลื่น: ใช้น้ำหล่อลื่นช่วยลดแรงเสียดทาน และเพิ่มความสนุกสนานระหว่างมีเซ็กส์
  • เพลิดเพลิน: มีเพศสัมพันธ์ตามปกติ แต่ระมัดระวังอย่าให้เล็บหรือฟันโดนใส่ถุงยางอนามัย
  • เอาออกอย่างระมัดระวัง: หลังจากหลั่งน้ำอสุจิแล้วให้จับด้านล่างของถุงยางอนามัย และถอดออกอย่างระมัดระวังในขณะที่อวัยวะเพศชายยังแข็งตัวอยู่และระมัดระวังไม่ให้น้ำอสุจิที่อยู่ข้างในหก จากนั้นห่อถุงยางอนามัยด้วยกระดาษทิชชู่หรือกระดาษชำระ แล้วทิ้งในถังขยะ ไม่ควรทิ้งลงในชักโครกเพราะจะทำให้ท่ออุดตัน

โปรดจำไว้ว่าถุงยางอนามัย จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อใช้อย่างถูกต้อง และต่อเนื่อง หากมีข้อสงสัยหรือข้อกังวลเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย ควรปรึกษาแพทย์

ถุงยางอนามัย ซื้อง่าย มีขายแทบทุกที่

ถุงยางอนามัย ซื้อง่าย มีขายแทบทุกที่

ถุงยางฯ มีจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และซูเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีจำหน่ายตามร้านค้าเฉพาะ ที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศ คุณสามารถหาซื้อถุงยางอนามัยได้ที่ 7-Eleven FamilyMart Watsons Boots Tesco Lotus และร้านค้าอื่นๆ ที่คล้ายกัน คุณยังสามารถหาซื้อได้ที่ ตู้ขายของอัตโนมัติในบาร์และคลับ รวมถึงแผงขายของริมทาง นอกจากถุงยางอนามัยแบบลาเท็กซ์แบบดั้งเดิมแล้ว คุณยังสามารถหาถุงยางอนามัยประเภทอื่นๆ ที่หลากหลายในประเทศไทย รวมถึงถุงยางอนามัยแบบไม่มีลาเท็กซ์ แต่งกลิ่น และแบบพื้นผิว

โปรดทราบว่า แม้ว่าถุงยางอนามัย จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพ 100% คุณควรใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่น นอกเหนือจาก ถุงยางอนามัยหากคุณต้องการป้องกันการตั้งครรภ์

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เอชไอวีและภาวะซึมเศร้า อยู่กับมันอย่างไร

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

ถุงยางอนามัย เป็นรูปแบบหนึ่งของการคุมกำเนิดที่ใช้ในระหว่างกิจกรรมทางเพศเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) มีจำหน่ายทั่วไปและหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และซุปเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่ในประเทศไทย ถุงยางอนามัยมีหลายประเภท ทั้งแบบลาเท็กซ์ แบบไม่มียาง แบบปรุงแต่ง และแบบมีพื้นผิว แม้ว่าถุงยางอนามัยจะมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ แต่ก็ไม่ได้ผล 100% และการคุมกำเนิดรูปแบบอื่นอาจจำเป็นสำหรับการป้องกันเพิ่มเติม

continue reading
ตรวจเอชไอวี

ANTI-HIV เป็นการตรวจเอชไอวีแบบไหน

ANTI-HIV เป็นการตรวจเอชไอวีแบบไหน

การตรวจ ANTI-HIV (แอนติบอดีเอชไอวี) หรือ HIV Antibody Test เป็นการตรวจ เพื่อหาแอนติบอดีที่เกิดขึ้นโดยตรงกับเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดของมนุษย์ โดยใช้เลือดของผู้ตรวจเป็นตัวอย่าง ซึ่งการตรวจเอชไอวีสามารถทำได้โดยใช้วิธีการตรวจแบบ ELISA (Enzyme-linked Immunosorbent Assay) หรือวิธีการวิเคราะห์หาโปรตีนโดยเทคนิค Western Blot ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่มีความแม่นยำสูง และได้รับการยอมรับในการตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวี

การตรวจสอบเอชไอวีจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี ในบางกรณีอาจจะใช้เวลานานขึ้นกว่านี้ ระยะเวลาการตรวจเอชไอวีมีความสำคัญอย่างมาก ในการวินิจฉัยว่าบุคคลนั้นติดเชื้อไวรัสเอชไอวีแล้วหรือไม่ การตรวจเอชไอวีเป็นการตรวจที่มีความปลอดภัยสูง และไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่อยากรู้สถานะเอชไอวีของตัวเอง

วิธีการตรวจ ANTI-HIV ทำงานอย่างไร?

ในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อเอชไอวี ไวรัสเองยากต่อการตรวจพบ การตรวจเอชไอวี จึงมักจะเน้นการตรวจการตอบสนองของร่างกายที่มีต่อเชื้อไวรัส เป็นการวัดปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวีในกระแสเลือด ด้วยวิธีนี้เพื่อช่วยวินิจฉัยเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ในระยะเริ่มต้น ซึ่งโครงสร้างสำคัญที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของร่างกาย คือ แอนติบอดี ที่ถูกผลิตโดยธรรมชาติ และเข้าต่อสู้กับเชื้อไวรัส เมื่อมีการตรวจเอชไอวีก็จะตรวจสอบการมีแอนติบอดีต่อการมีเชื้อไวรัสเอชไอวี แบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือ ELISA (EIA) และ Western Blot ที่สามารถตรวจสอบได้จากตัวอย่างน้ำลายในปาก (Oral Fluid) ในปัจจุบัน

ผลการตรวจ ANTI-HIV หมายถึงอะไร?

หากผลการตรวจ ANTI-HIV เป็นลบ แสดงว่า คุณไม่มีแอนติบอดีที่ถูกตรวจพบ ผลการตรวจลบ แสดงว่าบุคคลนั้น ไม่ติดเชื้อเอชไอวี หรือบุคคลนั้นได้มีการสัมผัสกับเชื้อไวรัสเอชไอวีจริง แต่ร่างกายยังไม่ถึงเวลาสร้างแอนติบอดีต่อการติดเชื้อ ซึ่งอาจจะใช้เวลา 3-6 เดือนหลังจากการสัมผัสครั้งแรกแล้วแอนติบอดีจึงจะเพิ่มขึ้น

หากผลการตรวจเอชไอวีเป็นบวก แสดงว่า ร่างกายได้มีการสัมผัสกับเชื้อไวรัสเอชไอวี และร่างกายได้ผลิตแอนติบอดีต่อการติดเชื้อนี้ คคลที่ผ่านการตรวจเอชไอวีและผลเป็นบวกจะต้องได้รับการตรวจแบบอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อยืนยันการวินิจฉัย ทั้งนี้ บุคคลที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นเป็นโรคเอดส์ หรือว่าจะเป็นโรคเอดส์ในอนาคต มันแสดงเพียงว่าบุคคลนั้นติดเชื้อไวรัสเท่านั้น

ว่าด้วยการตรวจเอชไอวีคืออะไร?

การตรวจเอชไอวี เป็นการตรวจสอบตัวอย่างเลือดของคุณ เพื่อดูว่าคุณติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ ส่วนโรคเอดส์ เป็นอาการเจ็บป่วยที่ได้รับมาจากเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งทำลายเซลล์บางชนิดในระบบภูมิคุ้มกันของคุณ และเป็นเซลล์ที่ป้องกันร่างกายของคุณจากเชื้อโรคต่างๆ เช่น จุลินทรีย์ ไวรัส และเชื้อรา หากคุณสูญเสียเซลล์ภูมิคุ้มกันมากเกินไป ร่างกายของคุณจะมีปัญหาในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ได้ในอนาคต ซึ่งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเอชไอวีเกิดจากการสัมผัสกับเลือด และสารคัดหลั่งอื่นๆ จากคนที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย หรือการแบ่งปันเข็มฉีดยาสำหรับเสพสารเสพติด

ติดเอชไอวี ไม่ได้เป็นเอดส์ทันที

เอชไอวี คือ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง) โดยเอดส์เป็นขั้นตอนสุดท้าย และร้ายแรงที่สุดของการติดเชื้อเอชไอวี หากไม่ได้รับการรักษา เอชไอวี จะทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรื่อยๆ จนเกิดภาวะเอดส์ ร่างกายของคุณจะค่อยๆ เกิดมีปัญหาในการต่อสู้กับเชื้อโรคจากแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่มักเกิดกับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือเรียกว่า โรคฉวยโอกาสและอาจกลายเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ การติดเชื้อเอชไอวียังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งบางประเภทอีกด้วย

ส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี จะไม่มีภาวะเอดส์ หากได้รับการรักษาและรับประทานยาตามแพทย์สั่ง จะทำให้คุณไม่เจ็บป่วย การตรวจเอชไอวีช่วยจับเชื้อไว้ได้ตั้งแต่ต้น เพื่อทำให้เริ่มการรักษาอย่างต่อเนื่อง และช่วยให้คุณรักษาสุขภาพ ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี

ติดเอชไอวี ไม่ได้เป็นเอดส์ทันที

จะตรวจ ANTI-HIV เมื่อไหร่ดี?

หากคิดว่าคุณได้รับเชื้อเอชไอวี โปรดพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ หรือปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรักษาฉุกเฉิน ที่เรียกว่า PEP (Post Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยารับประทานที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ หากเริ่มต้นใช้ยาเป๊ปในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังจากมีโอกาสได้รับเชื้อ ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งดี แต่ก่อนจะเริ่มยา คุณจะต้องทำการตรวจเอชไอวีในระหว่างการทานยาและหลังจากใช้ยาด้วย

ประเภทของการตรวจเอชไอวี

มีการตรวจเอชไอวีอยู่ 3 ประเภทหลักๆ และทุกประเภทมีความแม่นยำสูงมาก แต่ไม่มีการตรวจที่สามารถหาเชื้อเอชไอวีในร่างกายของคุณได้ทันทีหลังจากคุณติดเชื้อ เพราะจะใช้เวลาหลายสัปดาห์จนกว่าอาการของเชื้อเอชไอวีในร่างกายของคุณจะเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะปรากฏบนการตรวจ เวลาที่ผ่านไปตั้งแต่เชื้อเข้าสู่ร่างกายและเวลาที่สามารถตรวจเชื้อเอชไอวีได้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของร่างกายของคุณต่อเชื้อเอชไอวีและประเภทของการตรวจที่คุณทำ

การทดสอบภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัส HIV (HIV antibody tests)

จะมองหาเชื้อแอนติบอดี้ HIV ในเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะของคุณ แอนติบอดี้ HIV คือโปรตีนที่สร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส HIV เมื่อคุณติดเชื้อ HIV บางคนทำโปรตีนนี้ได้เร็วกว่าคนอื่น การทดสอบแอนติบอดี้ HIV อาจพบโคโรนาไวรัส HIV ในเวลาเร็วที่สุดในช่วง 23 วันหลังการติดเชื้อ แต่อาจใช้เวลาสูงสุดถึง 90 วันก่อนที่ร่างกายของคุณจะสร้างพอโปรตีนแอนติบอดี้เพียงพอที่จะแสดงผลในการทดสอบนี้ได้

การทดสอบภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชไอวีและแอนติเจน

เป็นการทดสอบเชื้อเอชไอวีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยจะตรวจหาภูมิคุ้มกันและแอนติเจนของเชื้อในเลือดของคุณ แอนติเจนเป็นส่วนของเชื้อเอชไอวีที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคุณมาต่อสู้กับการติดเชื้อ หลังจากมีการสัมผัสกับเชื้อเอชไอวี แอนติเจนจะปรากฏขึ้นในเลือดของคุณได้เร็วกว่าภูมิคุ้มกัน:
การตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ตัวอย่างเลือดจากเส้นเลือดสายเลือดสามารถค้นพบการติดเชื้อเอชไอวีได้ในเวลาเพียง 18 ถึง 45 วันหลังจากการติดเชื้อ

การทดสอบแบบรวดเร็วใช้หยดเลือดจากนิ้วมือของคุณ

การทดสอบนี้สามารถค้นหาการติดเชื้อเอชไอวีเริ่มต้นตั้งแต่ 18 วันถึง 90 วันหลังจากการติดเชื้อ การทดสอบที่บ้านหรือการส่งทางไปรษณีย์อนุญาตให้คุณเก็บเลือดจากนิ้วมือของคุณที่บ้านและส่งไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อทดสอบ เช่นเดียวกับการทดสอบแบบรวดเร็ว การทดสอบเหล่านี้สามารถเริ่มต้นค้นหาเอชไอวี 18 ถึง 90 วันหลังจากการติดเชื้อ NAT ทดสอบ (nucleic acid tests) ค้นหาเอชไอวีในตัวอย่างเลือดของคุณที่ถูกเก็บจากหลอดเลือดและทดสอบในห้องปฏิบัติการ การทดสอบเหล่านี้อาจเรียกว่า “viral load tests” พวกเขาสามารถค้นหาการติดเชื้อเอชไอวีได้โดยปกติตั้งแต่ 10 ถึง 33 วันหลังจากการติดเชื้อ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ถูกใช้สำหรับการติดตามการรักษาเอชไอวีและไม่ใช้สำหรับการคัดกรองเชิงประจำวันเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าคุณ: ถามผู้ให้บริการของคุณเกี่ยวกับการทำ NAT test โดยเร็วที่สุดหากว่าคุณ

อาจเคยได้รับเชื้อ HIV และมีอาการดังนี้:

  • อาการเหมือนไข้หวัด รวมถึงไข้, หนาวสั่น, ปวดเมื่อย
  • ความเหนื่อยล้ามาก
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม (บริเวณคอ, เข่าเท้าหรือรักแร้ใต้แขน)
  • ผื่น
  • แผลในปาก
  • รู้ว่าตนได้รับเชื้อ HIV หรือมีโอกาสได้รับเชื้อมาก

ANTI-HIV มันถูกใช้เพื่ออะไร?

การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV screening test) ถูกใช้เพื่อหาว่าคุณติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ มันอาจถูกทำเป็นการตรวจปกติหรือหลังจากมีโอกาสติดเชื้อเพื่อหาว่าคุณติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ หากพบเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะมีอาการเจ็บป่วย คุณสามารถรับการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดโรคเอดส์ได้ และยาสามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีไปยังผู้อื่นได้

ทำไมฉันต้องทำการตรวจ ANTI-HIV

ทำไมฉันต้องทำการตรวจ ANTI-HIV

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค แนะนำให้ทุกคนที่อายุระหว่าง 15-60 ปี โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ ต้องทำการตรวจเอชไอวีอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาสุขภาพปกติ คุณอาจต้องทำการตรวจมากกว่าหนึ่งครั้งหากคุณมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ ด้วยเหตุนี้ เหตุผลที่คุณควรทำการตรวจเอชไอวีอีกครั้งได้แก่

  • มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนักกับคนที่ติดเชื้อเอชไอวี (มีเชื้อเอชไอวี) หรือคนที่คุณไม่รู้ว่าเป็นเอชไอวีหรือไม่
  • ฉีดยาเสพติด ร่วมกับ แบ่งปันเข็มฉีดยา สัมผัสเข็มฉีดหรืออุปกรณ์เสพติดอื่นๆกับคนอื่น
  • มีเพศสัมพันธ์เพื่อหาเงินหรือยาเสพติด
  • เป็นโรคติดเชื้อทางเพศ (STD) เช่น ซิฟิลิส
  • มีเพศสัมพันธ์กับใครก็ตามที่เคยทำสิ่งที่ระบุไว้ด้านบน

หากคุณทำสิ่งใดบนรายการด้านบนโดยสม่ำเสมอ คุณควรตรวจเอชไอวีอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อปี บางกลุ่มคน เช่น ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM) อาจได้รับประโยชน์จากการตรวจบ่อยขึ้น ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของพวกเขา คุณสามารถถามผู้ให้บริการของคุณเกี่ยวกับความถี่ที่ควรตรวจเอชไอวี นอกจากนี้ หากคุณตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจสั่งทำการตรวจเอชไอวี เพราะเหตุนี้ เชื้อเอชไอวี สามารถถูกส่งต่อไปยังทารกขณะตั้งครรภ์ และในช่วงการคลอด และผ่านน้ำนมด้วย มียาที่คุณสามารถรับ ในระหว่าง การตั้งครรภ์ และการคลอดที่จะลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีให้กับทารกของคุณได้

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

การตรวจ ANTI-HIV สามารถรับบริการแบบนิรนามได้ นั่นหมายความว่าคุณไม่ต้องให้ชื่อของคุณ เมื่อต้องการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ซึ่งมีในเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ โดยอาจจะได้รับเป็นบัตรคนไข้ที่เป็นหมายเลขแทน เพื่อป้องกันการผิดพลาดในการแจ้งผลกับผู้ตรวจ และสถานพยาบาลทั่วไปจะเก็บความลับของผลตรวจคุณไว้อย่างเต็มที่ไม่ให้รั่วไหล จึงไม่มีความน่ากังวลใจหากคุณตัดสินใจไปตรวจเอชไอวีที่โรงพยาบาลทุกที่ครับ

continue reading
ตรวจเอชไอวีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ความเสี่ยงที่มาพร้อมกับ ออรัล เซ็กส์ คืออะไร?

ความเสี่ยงจาก Oral Sex

ออรัล เซ็กส์ ถือเป็นวิธีการมีเพศสัมพันธ์ อย่างหนึ่งที่ทำให้คู่รักรู้สึกเพลิดเพลิน หากทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ แต่ในบางครั้งการทำออรัลเซ็กส์อาจนำมาซึ่งโรคร้ายต่าง ๆ ได้ เช่น โรคติดเชื้อเอชพีวี ซิฟิลิส หรือแม้กระทั่งโรคเอดส์ ดังนั้น ก่อนจะทำออรัล เซ็กส์ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค และการทำออรัล เซ็กส์อย่างปลอดภัย

Oral Sex คือ

ออรัล เซ็กส์ (Oral Sex) คือ อะไร ?

การใช้ช่องปาก ริมฝีปาก หรือลิ้น ในการกระตุ้นบริเวณอวัยวะเพศชาย อวัยวะเพศหญิง ทวารหนัก หรือส่วนที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณดังกล่าว เพื่อให้คู่นอนอีกฝ่ายเกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งทำได้ทั้งคู่รักเพศเดียวกันและคู่รักต่างเพศ การออรัล เซ็กส์นั้นเป็นสิ่งที่ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงต่างปรารถนาเป็นอย่างมาก บางคนเพียงแค่ถูก ออรัล เซ็กส์ก็สามารถเสร็จได้โดยไม่ต้องสอดใส่

ข้อดีของออรัล เซ็กส์คืออะไร

ไม่ทำให้ท้อง และทำให้ฝ่ายหญิง และฝ่ายชายพอใจในเพศรสมากขึ้น และมีคนกลุ่มไม่น้อยที่ชอบออรัล เซ็กส์ มากกว่าการมีเซ็กส์จริงๆ เสียอีก

ข้อเสียของออรัล เซ็กส์

สามารถติดโรคได้ทุกโรค เนื่องจากการกลืนน้ำหล่อลื่นฝ่ายหญิง หรือน้ำอสุจิของชายที่มีโรค อาจทำให้ติดโรคได้ง่ายขึ้น และโรคที่มีโอกาสติดผ่านการทำรักทางปาก

โรคจากOral Sex

ความเสี่ยงที่อาจมาพร้อม ออรัล เซ็กส์

1. ติดเชื้อเอชไอวี การทำออรัลเซ็กส์จะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีน้อยกว่า การมีเซ็กส์ทางทวารหนัก และช่องคลอด แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีโอกาสติด โดยเฉพาะถ้าช่องปากของฝ่ายรุก และอวัยวะเพศของฝ่ายรับมีแผล

2. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อื่นๆ ดังนี้

  • หนองในแท้ สามารถติดได้ทั้งฝ่ายรับ และฝ่ายรุก กรณีที่หากอีกฝ่ายมีเชื้อ 
  • หนองในเทียม 
  • ซิฟิลิส ซิฟิลิสเป็นแผลริมแข็ง เชื้อซิฟิลิสเข้าทางเยื่อบุต่างๆ ได้ ดังนั้นการสัมผัสทางปากกับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หัวนม ในคนที่มีแผลริมแข็ง มีเชื้อซิฟิลิส ก็สามารถติดเชื้อซิฟิลิสได้
  • เริม ติดจากการสัมผัสผื่นเริม ดังนั้นจึงติดได้ทั้งฝ่ายรับ และฝ่ายรุก หากอีกฝ่ายมีเชื้อเริม

3. พยาธิ โดยเฉพาะพยาธิเส้นด้ายที่ชอบวางไข่รอบๆ ทวารหนัก ซึ่งอาจกระจายมาที่อวัยวะเพศ อาจทำให้ผู้ทำออรัล เซ็กส์ กลืนกินไข่พยาธิเส้นด้าย ไปเจริญเติบโตแพร่กระจายในลำไส้ใหญ่ และทวารหนักต่อได้

4. เชื้อเอชพีวี ซึ่งทำให้เกิดโรคหูดหงอนไก่ในหลอดลม ทอนซิล และช่องปาก ก่อให้เกิดมะเร็งในช่องปาก ทอนซิลลิ้นและคอได้อีกด้วย

5. โรคไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสที่ว่าถูกปล่อยจำนวนมากออกมากับอุจจาระ ทำให้สามารถติดต่อทางออรัล เซ็กส์ได้

6. โรคไวรัสตับอักเสบบี โรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรงได้ อย่างเป็นโรคตับหรือตับเกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง และบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ด้วย ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือผู้ที่ใช้สารเสพติด โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอาจถูกพบได้หลายแห่งในร่างกาย อย่างน้ำอสุจิ เลือด น้ำลาย และอุจจาระ แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน แต่ก็มีแนวโน้มว่าการทำออรัล เซ็กส์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้

7. โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคที่อาจทำให้ตับเกิดการอักเสบหรืออาจทำให้ตับเสียหายอย่างร้ายแรงได้ มีช่องทางการแพร่เชื้อเหมือนกับโรคไวรัสตับอักเสบบี และถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าเชื้อไวรัสของโรคชนิดนี้ติดต่อผ่านการทำออรัล เซ็กส์หรือไม่ แต่หากมีเลือดออกบริเวณที่ทำออรัล เซ็กส์ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะติดโรคไวรัสตับอักเสบซีได้ ไม่ว่าจะเป็นเลือดที่ออกจากฝ่ายที่เป็นผู้ทำออรัล เซ็กส์เอง หรืออีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม  

8. โรคบิดชิกเกลลา  ติดต่อได้โดยการสัมผัสอุจจาระที่มีเชื้อแบคทีเรียชิกเกลลาอยู่ ดังนั้น การทำออรัล เซ็กส์ บริเวณทวารหนักจึงอาจทำให้ติดโรคนี้ได้ โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย ซึ่งโรคนี้จะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง หรือมีไข้ ในขณะที่บางคนก็อาจไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา แต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในอุจจาระไปอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์

9. การติดเชื้อทริโคโมแนส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่อาจทำให้รู้สึกแสบเมื่อปัสสาวะ มีของเหลวผิดปกติที่อวัยวะเพศหญิงหรืออวัยวะเพศชาย และช่องคลอดแดงหรือมีอาการคัน ซึ่งการติดเชื้อทริโคโมแนสเกิดขึ้นได้ทั้งบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือลำคอ ดังนั้น การทำออรัล เซ็กส์ กับผู้ที่เป็นโรคนี้จึงอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ปากและลำคอได้ด้วยเช่นกัน
10. โลน เป็นปรสิตขนาดเล็กที่กินเลือดคนเป็นอาหาร อาศัยอยู่ที่ขนบริเวณอวัยวะเพศ รวมถึงขนที่บริเวณอื่น ๆ อย่างขนรักแร้ ขนหน้าอก หรือขนขา ซึ่งโลนอาจทำให้มีอาการคันอย่างรุนแรงได้ โดยปกติแล้วโลนจะติดต่อผ่านการสัมผัสอวัยวะเพศ ทวารหนัก รวมถึงการทำออรัล เซ็กส์ ด้วย

เคล็ดลับเพิ่มรสชาติให้ ออรัลเซ็กส์

  • ทำความสะอาดช่องปากให้สะอาด อย่าปล่อยให้มีกลิ่นอาหารนั้นมาทำลายบรรยากาศสุดฟินของคุณ ควรทำความสะอาดภายในช่องปากให้สะอาดทุกครั้งก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
  • สำหรับคุณผู้ชายควรโกนหนวดให้เรียบร้อย เพราะหนวดเคราอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อฝ่ายตรงข้ามได้
  • กระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกตื่นตัวด้วยการเม้มปากแรงๆ สัก 3-5 ครั้ง ที่อวัยวะเพศ
  • หากมีปัญหาช่องปาก เช่น ฟันผุ หรือมีแผลในปาก ควรรักษาให้หายก่อน เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อต่างๆได้
  • ใช้ลิ้นอย่างนุ่มนวลอย่ารุนแรงจนเกินไป และรักษาจังหวะไว้เพื่อไม้ให้อีกฝ่ายอารมณ์ค้าง
แผ่นOral Sex

ออรัลเซ็กส์อย่างไรให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อโรคร้าย

  • หากทำออรัล เซ็กส์ กับอวัยวะเพศชาย ให้สวมถุงยางอนามัยที่ไม่ผสมสารหล่อลื่น  ก่อนทำออรัล เซ็กส์ หากแพ้ยางก็ให้ใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากพลาสติกแทน
  • หากทำออรัลเซ็กส์กับอวัยวะเพศหญิง หรือทวารหนัก ให้ใช้แผ่นยางอนามัยหรือตัดถุงยางอนามัยให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแล้ววางไว้ระหว่างปากกับอวัยวะเพศหญิงหรือทวารหนักขณะทำออรัล เซ็กส์
  • หลีกเลี่ยงการทำออรัลเซ็กส์หากคู่นอนมีความผิดปกติเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก และปาก อย่างเป็นผื่น เป็นแผล มีอาการเจ็บคอ ติดเชื้อที่ลำคอ เป็นกามโรค หรืออยู่ในช่วงที่มีประจำเดือน
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ควรพาคู่นอน และตนเองไปตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่โรงพยาบาล หรือคลินิก
  • หากคิดว่าตนเอง หรือคู่รักอาจมีเชื้อเอชไอวี หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดใดก็ตาม ควรงดเว้นกิจกรรมทางเพศไว้ก่อน และไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่นี่

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • ออรัล เซ็กส์ ความสุขที่อาจมาพร้อมกับโรคร้าย https://www.pobpad.com/ออรัล-เซ็กส์-ความสุขที่อ
  • การทำรักด้วยปาก (Oral Sex) กับความเสี่ยงที่คุณอาจไม่คาดคิด https://thestandard.co/oral-sex-risks/
  • เรื่องต้องรู้ Oral Sex อย่างไรไม่ให้ผู้ชายเจ็บ https://praewwedding.com/love-and-relationships/122845
continue reading
การรักษาเอชไอวีตรวจเอชไอวี

เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV

เรื่องเข้าใจผิดเอชไอวีและเอดส์

ถึงแม้ว่าโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจะมีมานานมากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี ทำให้ปัจจุบันต้องมีการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับโรคเอดส์ และเชื้อเอชไอวี หรือการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง

เอชไอวี คืออะไร

เชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

โรคเอดส์ คืออะไร

เอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome – AIDS) คือ กลุ่มอาการของการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนต่างๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่งกายถูกเชื้อเอชไอวีทำลายจนไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายเหล่านี้ได้

สาเหตุการติดเชื้อเอชไอวี

สามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์

เรื่องที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV ตัวอย่างเช่น

โรคเอดส์ กับ เชื้อ HIV เป็นคนละตัวกัน

HIV คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง  ส่วนโรคเอดส์ คือ โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นหลังภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เชื้อเอชไอวีทำลาย

ทานยาต้านไวรัส

โรคเอดส์ ยังมีโอกาสรอดชีวิต

ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาโรคเอดส์ได้โดยตรง แต่ถ้าหากตรวจพบในระยะที่ยังเป็นการติดเชื้ออยู่ สามารถทานยาต้านไวรัส เพื่อไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนเกิดอาการความผิดปกติออกมา ดังนั้นหากตรวจพบเชื้อได้เร็ว ก็จะยิ่งควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ง่าย จนไม่เชื้อไม่พัฒนาเป็นโรคเอดส์ที่สมบูรณ์ โอกาสรอดก็มีสูงขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป

คนเป็นเอดส์ ติดเชื้อ HIV ต้องเสียชีวิตด้วยอาการแผล ตุ่ม หนอง

อาการแผล ตุ่ม หนอง หรือ ผื่น ที่เกิดขึ้นในผู้ติดเชื้อ เป็นอาการทางผิวหนังของระยะการเป็นโรคของการติดเชื้อ หรืออาจเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาที่รักษาการติดเชื้อ ก็ได้  ซึ่งไม่ว่าผื่นนั้นจะเกิดจากการใช้ยา หรือจากตัวเชื้อไวรัสเอง โดยส่วนใหญ่ผื่นนั้นจะมีสีแดงแบนบนผิวหนังและมีตุ่มนูนแดงอยู่ด้านบน

ผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV คือคนที่สำส่อนในเพศสัมพันธ์

การติดเชื้อไม่ได้เกิดจากเพศสัมพันธ์เท่านั้น หลายคนที่อาจติดเชื้อ HIV จากแม่ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อก็เป็นได้

เชื้อ HIV ไม่ใช่ไข้หวัดที่จะติดต่อกันได้ง่าย

  • เชื้อ HIV จะไม่ติดต่อกันผ่านทาง กอด จูบ (ยกเว้นกรณีที่มีแผลในปาก แล้วจูบแลกน้ำลายกัน) 
  • ทานข้าวร่วมกัน จานเดียวกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน หรือแม้แต่ใช้ช้อน ส้อมคันเดียวกัน
  • มีเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย 
  • ลมหายใจ 
  • ใช้สิ่งของอุปโภคร่วมกัน ใช้สบู่ ครีมอาบน้ำ แชมพู ยาสีฟัน ร่วมกัน
  • การใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายที่ยิม
  • การสัมผัสที่ฝารองนั่งในห้องน้ำ, ลูกบิดประตู หรือที่จับ

เชื้อเอชไอวีแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย หรือปัสสาวะได้

ริง ๆ แล้ว เชื้อเอชไอวีไม่สามารถแพร่ผ่านการสัมผัส น้ำตา เหงื่อ น้ำลาย หรือปัสสาวะ

วิธีการรักษาแบบแปลก ๆ สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีได้

  • การอาบน้ำหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ยังบริสุทธิ์อยู่ สามารถกำจัดเชื้อเอชไอวีได้
ยุงแพร่เชื้อ

ยุงแพร่เชื้อเอชไอวีได้

ถึงแม้ว่าเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่เชื้อผ่านทางเลือดของผู้ติดเชื้อไปสู่คนอื่นได้  แต่ไม่สามารถติดเชื้อเอชไอวีจากการถูกแมลงกัด หรือถูกแมลงดูดเลือดได้  เพราะ เมื่อถูกแมลงกัด แมลงเหล่านั้นไม่ได้ฉีดเลือดของคน หรือสัตว์ที่พวกมันกัดก่อนหน้านี้ ใส่คนที่มันกัดต่อหลังจากนั้น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีมีชีวิตอยู่ได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ภายในตัวของแมลงเหล่านั้น

เราไม่อาจติดเชื้อเอชไอวีได้จากการทำออรัลเซ็กส์

การทำออรัลเซ็กส์ มีความเสี่ยงน้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์บางรูปแบบ อัตราการแพร่เชื้อน้อยกว่า 4 ครั้ง จากการทำออรัลเซ็กส์ 10,000 ครั้ง แต่คุณอาจติดเชื้อเอชไอวีได้จากการทำออรัลเซ็กส์กับชายหรือหญิงที่มีเชื้อเอชไอวี จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยเสมอ แม้แต่การทำออรัลเซ็กส์

เราไม่อาจติดเอชไอวีได้ ถ้าเราสวมถุงยาง

ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันการสัมผัสเชื้อเอชไอวีได้ ในกรณีที่ถุงยางเกิดแตก, หลุด, หรือรั่ว ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์  ก็ทำให้สามารถติดเชื้อได้อยู่

ไม่มีอาการ หมายความว่า ไม่มีเชื้อเอชไอวี

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีอาจใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่มีอาการใด ๆ เลย เป็นเวลานาน 10-15 ปี พวกเขาอาจจะมีอาการเจ็บป่วยที่คล้ายกับหวัด รวมถึง การมีไข้, ปวดหัว, ผื่น, หรือเจ็บคอ ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการติดเชื้อ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจเลือด หลังจากมีความเสี่ยงจากการสัมผัสเชื้อ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และความปลอดภัยสำหรับตนเอง และผู้อื่น

คนที่ใช้ชีวิตร่วมกับเอชไอวีจะเสียชีวิตเร็ว

นที่รู้ตัวว่าติดเชื้อเอชไอวีเข้ารับการรักษาได้เร็ว ทานยาต้านไวรัสตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นประจำ และใช้ชีวิตตามเหมือนคนปกติได้

เอชไอวีจากแม่สู่ลูก

แม่ที่มีเชื้อเอชไอวีจะทำให้ลูกติดเชื้อไปด้วยเสมอ

ไม่จำเป็น แม่ที่ทานยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถมีลูกได้โดยไม่แพร่เชื้อเอชไอวีให้แก่ลูก 

การติดเชื้อในเด็ก  เกิดในช่วงที่อยู่ในครรภ์มารดา  หรือระหว่างคลอด สำหรับประเทศไทยไม่แนะนำให้ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อกินนมแม่  จึงไม่พบการติดเชื้อภายหลังการคลอด  ส่วนการติดเชื้อในบิดาจะไม่มีการติดต่อมายังบุตร

นอกจากนี้การคลอดโดยการผ่าตัดทางหน้าท้อง  (Caesaren  section)  ก่อนจะเจ็บครรภ์หรือมีน้ำเดิน  จะช่วยลดอันตรายการเกิดเชื้อในทารกลงไปได้อีก  

ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถมีครอบครัวได้

การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย จะทำให้มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อได้ แต่หากอยากมีครอบครัว ผู้สามารถจูงมือคู่รัก เพื่อปรึกษาแพทย์ หาทางออกในการมีครอบครัว มีบุตรโดยที่บุตรไม่ติดเชื้อ HIV ได้

ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่จำเป็นต้องกินยาต้านไวรัสไปตลอดชีวิต

การทานยาต้านไวรัสตรงเวลา   และมีการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ มีโอกาสที่เชื้อไว้รัส HIV จะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ จนอาจสามารถหยุดทานยาได้ แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างสม่ำเสมอประกอบด้วย

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่นี่

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • 6 สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์กับผู้ติดเชื้อ HIV https://tenderloinhealth.org/6-สิ่งที่คนมักจะเข้าใจผิ/
    เอดส์: 8 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวี https://www.bbc.com/thai/international-46363949
  • 8 สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคเอดส์ และผู้ติดเชื้อ HIV http://www.drugsquare.co.th/healthy/69/
continue reading
ตรวจเอชไอวี

ตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจ HIV ในปัจจุบัน

เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ยังไม่สามารถคิดค้นวิธีการรักษาให้หายขาดได้ นั่นก็คือ เชื้อเอชไอวี (HIV : Human Immunodeficiency Virus) ที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ติดเชื้อลดลง ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ เป็นสาเหตุของการเกิดโรคฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ง่ายมากกว่าปกติ อีกทั้งหากไม่เข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วแล้ว จะส่งผลต่อร่างกายทำให้เข้าสู่ระยะรุนแรงที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อว่า ระยะเอดส์ นั่นเอง

ด้วยความเชื่อและความเข้าใจผิดที่ได้ส่งต่อกันมา เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่กล้าที่จะ ตรวจ HIV เพื่อเพิ่มการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากเอชไอวีเท่าที่ควร ซึ่งมีแง่มุมต่อผู้ป่วยเอชไอวีในทางลบ จนส่งผลต่อการเลือกปฏิบัติไปจนถึงการตีตราผู้ป่วย นำมาสู่ความกลัว ไม่กล้า ไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นผู้ที่น่ารังเกียจของสังคม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การตรวจ HIV กลายเป็นทางเลือกที่หลายคนไม่กล้าปรึกษาแพทย์โดยตรง ทั้งที่ตนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูงก็ตาม

ในบทความนี้เราได้รวบรวมคำตอบของทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจ HIV ที่คัดสรรมาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า พบคำถามเหล่านี้บ่อยครั้งจากหลากหลายแหล่ง รวมไปถึงความเข้าใจผิด ๆ ที่ต้องการให้ผู้คนทั่วไปเข้าใจไปในทิศทางถูกต้อง และเปลี่ยนทัศนคติต่อการตรวจ HIV การป้องกัน HIV การรักษา HIV ไปจนถึงการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นหลังจากทราบผลการตรวจ HIV ว่าติดเชื้อเอชไอวี ทั้งหมดนี้จะให้ความรู้และไขข้อข้องใจได้ครบถ้วนมากน้อยแค่ไหน ไปติดตามในเนื้อหากันได้เลย

ทำไมเราควรตรวจ HIV?

ไม่ว่าโรคใดย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ เอชไอวี ที่เรากำลังกล่าวถึงในบทความนี้ หากทราบสถานะได้เร็วมากเท่าไหร่ โอกาสในการรักษาไม่ให้ลุกลามไปสู่ระยะรุนแรงก็มากด้วยเช่นกัน ดังนั้นการตรวจ HIV จึงเป็นทางเลือกในการป้องกันที่สำคัญไม่แพ้การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งยังเป็นการเพิ่มการตระหนักถึงการดูแลตนเองและคู่ของคุณร่วมด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรการติดเชื้อเอชไอวีอาจเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย บางรายมีเชื้อเอชไอวีในร่างกายแต่ไม่รู้ตัวว่าตนติดเชื้อ ประกอบกับโดยทั่วไปแล้วผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะไม่แสดงอาการให้เห็นได้ชัดเจน จนในที่สุดอาการก็ลุกลามไปสู่ระยะรุนแรง ทำให้ไม่สามารถรับมือกับอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ดีเท่าที่ควร ด้วยสาเหตุเหล่านี้เองทำให้การตรวจ HIV เป็นสิ่งที่จำเป็นและควรทำอย่างยิ่งในทุก ๆ ปีเช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปีนั่นเอง

ตรวจ HIV มีค่าใช้จ่ายแพงไหม?

ปัจจุบัน การตรวจ HIV เป็นเรื่องที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้สิทธิการตรวจ HIV เป็นหนึ่งในสิทธิของประชาชนไทยภายใต้หลักสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเข้ารับการตรวจได้ฟรี 2 ครั้ง/ปี ภายในสถานพยาบาลที่มีสิทธิทั่วประเทศ หรือเลือกเข้ารับการตรวจ HIV ในคลีนิกนิรนาม และคลินิกเฉพาะทางโดยตรง หากต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการเผยข้อมูลส่วนตัว สามารถเลือกได้ตามความสะดวกของแต่ละบุคคลได้เช่นเดียวกัน โดยค่าใช้จ่ายของแต่ละแห่งอาจแตกต่างกันไป แนะนำให้สอบถามก่อนตัดสินใจเลือกเข้ารับการตรวจ HIV จึงจะดีที่สุด

จะทราบได้อย่างไรว่าควรตรวจ HIV?

ข้อสงสัยนี้จัดว่าเป็นคำถามที่พบได้บ่อยในทุก ๆ คน เนื่องจากการตรวจ HIV เป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลายคน ด้วยความที่ว่าไม่มั่นใจว่าตนเองนั้นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือไม่ ตลอดจนมองว่าการตรวจ HIV ควรเข้ารับการตรวจเมื่อจำเป็นเท่านั้น อย่างไรก็ตามหากคุณคือหนึ่งในผู้ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังต่อไปนี้ ควรเข้ารับการตรวจพร้อมทั้งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยขาดสติ
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
ผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ 
ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับบุคคลอื่น
หญิงตั้งครรภ์
ผู้ป่วยวัณโรค

การตรวจ HIV ใช้เวลานานหรือไม่จึงจะทราบผล?

ระยะเวลาในการตรวจ HIV จะขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจที่เลือกใช้ หากเป็นการตรวจโดยสถานพยาบาลทั่วไปด้วยวิธีการตรวจที่นิยมใช้หลัก ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ระยะเวลาทราบผลได้เร็วที่สุดใน 1 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตามหากต้องการระยะเวลาที่แน่นอน แนะนำให้ปรึกษากับสถานพยาบาลนั้น ๆ เพื่อสอบถามโดยตรงจึงจะดีที่สุด ทั้งนี้ส่วนใหญ่แล้วการตรวจ HIV จะพิจารณาจากระยะความเสี่ยงต่อการติดเชื้อครั้งล่าสุด ดังนั้นการให้ข้อมูลโดยละเอียดต่อแพทย์ถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพิจารณาวิธีการตรวจด้วยเช่นกัน เพื่อประสิทธิภาพการตรวจที่แม่นยำและระยะเวลาในการทราบผลที่เหมาะสม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยตรงก่อนตรวจ HIV นั่นเอง

หลังจากตรวจ HIV แล้วทราบผลว่าติดเชื้อเอชไอวีควรทำอย่างไร?

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้หลังจากเข้ารับการตรวจ HIV นั่นก็คือผลการตรวจที่มีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ ไม่ติดเชื้อเอชไอวีและติดเชื้อเอชไอวี ในกรณีที่ได้รับผลการตรวจจากเจ้าหน้าที่ว่าคุณมีเชื้อเอชไอวีในร่างกาย เจ้าหน้าที่ซึ่งได้ผ่านการอบรมมาอย่างเป็นทางการแล้ว จะให้คำแนะนำกับคุณและเปิดโอกาสให้คุณได้ปรึกษาเกี่ยวกับการรักษา การรับมือด้านการดูแลตนเอง ตลอดจนการชี้แจงต่อคนในครอบครัวให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้คุณควรตั้งสติให้ได้มากที่สุดโดยเปิดใจรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ พร้อมกับนั้นควรปฏิบัติตามข้อแนะนำต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้คุณเข้าสู่กระบวนการรักษาเอชไอวีได้อย่างเหมาะสม ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติอย่างคนทั่วไป รวมถึงควรตระหนักไว้เสมอว่าการป้องกันตนเองไม่ให้แพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่บุคคลอื่น คือสิ่งควรทำอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตหลังจากนี้ ควบคู่ไปกับการดูแลตนเองและการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้เป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการตรวจ HIV ที่จัดอันดับว่าเป็นคำถามที่พบได้บ่อยมากที่สุด เชื่อว่าหากเพื่อน ๆ ได้อ่านทำความเข้าใจทั้งหมดนี้ จะมีความรู้ที่ถูกต้องตลอดจนเข้าใจมากยิ่งขึ้น เพื่อตัดสินใจก่อนเข้ารับการตรวจ HIV การเตรียมตัวก่อนตรวจ HIV รวมถึงการรับมือต่อผลการตรวจที่ตามมาได้เป็นอย่างดี หากใครที่มีข้อสงสัยนอกเหนือจากเนื้อหาในบทความนี้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพื่อรับคำแนะนำที่ตรงประเด็นและเป็นประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันมีสถานพยาบาลให้บริการทั่วประเทศทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน คลินิก มูลนิธิ ฯลฯ

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่นี่

continue reading
ตรวจเอชไอวี

การตรวจเอชไอวีในสถานพยาบาลกับการตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ต่างกันอย่างไร?

แน่นอนว่าการตรวจเอชไอวีด้วยชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการตรวจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นเพียงการตรวจคัดกรองเท่านั้น ซึ่งอาจจะต้องเข้ารับการตรวจยืนยันจากสถานพยาบาลอีกครั้ง โดยความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ ขั้นตอนการตรวจ หากเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้ตรวจจะได้รับคำปรึกษาและสอบถามความเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อพิจารณารูปแบบการตรวจให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่านั่นเอง ในส่วนของการใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ผู้ตรวจจะต้องทำการตรวจด้วยตนเอง จึงอาจมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะจากความผิดพลาดหรือความไม่สมบูรณ์ของชุดตรวจ

ทำไมการตรวจเอชไอวีเป็นประจำจึงเป็นเรื่องที่ง่ายและดีต่อตนเอง

การตรวจเอชไอวีในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่โรคเอดส์เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาที่ผ่านไปการคิดค้นแนวทางการรักษาให้หายขาดยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดวงการแพทย์สามารถรักษาให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อได้อย่างปกติ ทั้งนี้ยังมีการคิดค้นชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าถึงการตรวจคัดกรองได้ง่ายในราคาที่จับต้องได้ มีการออกแบบให้ใช้งานได้สะดวกเข้าใจง่าย ดังนั้นการตรวจเอชไอวีเป็นประจำจึงส่งผลดีต่อการป้องกันที่ดีที่สุด กรณีที่พบเชื้อเร็วก็ส่งผลดีต่อการรักษาที่เร็วด้วยเช่นกัน ตลอดจนเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนหรือบุคคลอื่นได้อีกด้วย

ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง INSTI หนึ่งในชุดตรวจที่ได้มาตรฐานระดับโลก

หากใครที่กำลังมองหา ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ที่ได้มาตรฐาน และจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แนะนำว่าชุดตรวจเอชไอวี INSTI คือหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่า เพราะนอกจากจะได้รับอนุญาตจากหน่วยงานในไทยแล้ว ยังขึ้นชื่อว่าเป็นชุดตรวจเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ สามารถทราบผลได้ใน 1 นาที โดยการเจาะเลือดจากปลายนิ้วเพียง 1 หยดเท่านั้น 

การตรวจเอชไอวีไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป ทั้งการตรวจกับทางสถานพยาบาล ที่ให้สิทธิสุขภาพถ้วนหน้า สำหรับคนไทย สามารถเข้ารับการตรวจเอชไอวีในโรงพยาบาลของรัฐได้ 2 ครั้งต่อปี หรือทางเลือกใหม่ด้วยการใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง นับว่าเป็นแนวทางการป้องกันเอชไอวีที่ช่วยให้มั่นใจได้อย่างครอบคลุม

continue reading
ตรวจเอชไอวี

ความก้าวหน้าของชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองในปัจจุบัน

กว่า 40 ปีผ่านมาที่เชื้อไวรัสเอชไอวีได้ถูกค้นพบครั้งแรกในโลก เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2524 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้แพร่กระจายสู่ประชากรทั่วโลก ซึ่งในขณะนั้นรู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ “โรคเอดส์” ถือว่าเป็นโรคที่ส่งผลร้ายแรงและนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด แต่การวิจัยและการพัฒนาด้านการแพทย์ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียด จึงทำให้มีแนวทางการรักษาที่ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ 100% ก็ตาม แต่หนึ่งสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในขณะนี้คือการรักษาให้ผู้ติดเชื้อใช้ชีวิตร่วมกับเชื้อได้อย่างปกติ รวมไปถึงการลดโอกาสในการติดต่อด้วยการคิดค้น ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง เพื่อการเข้าถึงและรู้ผลเลือดที่ง่ายได้ด้วยตัวเอง

ความก้าวหน้าของชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองได้ริเริ่มวางจำหน่ายอย่างถูกต้องในประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.2558 ด้วยการเปิดตัวชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองชุดแรกของโลก โดยใช้วิธีการเจาะเลือดเพื่อใช้ในการตรวจเบื้องต้น ซึ่งสามารถทราบผลเลือดได้ภายใน 15 นาทีเท่านั้น นับว่าเป็นหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้การเข้าถึงการตรวจได้มากขึ้นจากเดิม อีกทั้งยังเป็นการคัดกรองที่รวดเร็วและมีความแม่นยำมากถึง 99.7% 

ประสิทธิภาพของชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเองชุดแรกของโลก

ต่อเนื่องจากเนื้อหาข้างต้นที่ได้กล่าวถึงการเริ่มต้นวางจำหน่าย “ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง” ครั้งแรกของโลก แน่นอนว่าจะต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย ในระหว่างการทดสอบและการวิจัย เพื่อให้ได้ชุดตรวจที่แม่นยำรวมถึงการใช้งานด้วยตัวเองที่สะดวกสบายมากที่สุด ในขณะนั้นพบว่าการชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองสามารถช่วยผู้คนได้สูงถึง 26,000 คนภายใน 1 ปี (ผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่ทราบว่าตนมีเชื้อ HIV) 

ผู้ผลิตชุดตรวจได้มุ่งหวังให้เป็นทางเลือก ที่ช่วยผู้ที่ต้องการทราบสถานะเลือดได้ง่าย โดยไม่ต้องรอผลการตรวจจากสถานพยาบาลที่นานถึง 5 วัน เนื่องจากระหว่างนั้นอาจมีความกังวลใจรวมถึงไม่ต้องการให้ข้อมูลส่วนตัวของตนถูกเปิดเผย ช่วยเพิ่มความสบายใจให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากขึ้น โดยทุกกระบวนการศึกษาวิจัยระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามีความละเอียดรอบคอบ ผ่านการรับรองจากหน่วยงานสากลอย่างถูกต้องและตรวจสอบได้ 

(อ้างอิงข้อมูล : https://metro.co.uk/2015/04/27/the-worlds-first-hiv-self-testing-kit-is-being-launched-5168379/)

ความก้าวหน้าของชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเองในไทย

ในประเทศไทยได้มีการเริ่มต้นประกาศอนุญาตอย่างเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ.2562 ด้วยการปลดล็อกจากที่แต่เดิมยังไม่ให้ขึ้นทะเบียนการค้าได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบรวมไปถึงประสิทธิภาพของชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ซึ่งจากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับมีความเหมาะสม ประกอบกับองค์การอนามัยโลกได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองมีประโยชน์ในการตรวจคัดกรองเบื้องต้นได้จริง จึงทำให้ประชาชนไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจต่อชุดอุปกรณ์นี้กันมากยิ่งขึ้น

จากการยืนยันจาก อย. เมื่อช่วงเดือนเมษายนในปีเดียวกัน ได้ประสานงานร่วมกับมูลนิธิเกี่ยวกับเอดส์ สภากาชาดไทย และกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง มีความปลอดภัยและประสิทธิภาพแม่นยำมากถึง 99.5% ที่สำคัญคืออุปกรณ์การตรวจต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับชุดตรวจ สามารถทิ้งในขยะทั่วไปได้โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีอันตรายต่อคนรอบข้าง ทั้งนี้ผู้จัดจำหน่ายจะต้องขอขึ้นทะเบียนชุดตรวจอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งการนำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมต่อผู้ใช้งาน เช่น คำแนะนำในการใช้อุปกรณ์ การอ่านผลตรวจ ข้อปฏิบัติหลังได้ผลลัพธ์การตรวจ เป็นต้น 

ในส่วนของความกังวลเรื่องการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น จากการเจาะเลือดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองนั้น เรื่องนี้ได้กล่าวไว้ว่า ชุดตรวจเอชไอวีนี้ที่ได้รับการรับรองจากองค์กรสากล จะมีการออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและมีความปลอดภัยสูง เมื่อทำการเจาะเลือดจากปลายนิ้วมือเสร็จสิ้น เข็มจะถูกเก็บเข้าไปในเครื่องมือทันที และภายในชุดตรวจได้มีชุดปิดแผลให้มาครบครัน ดังนั้นการเจาะเลือดด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลอย่างที่หลายคนเข้าใจ

รูปแบบของชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองในปัจจุบัน

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (เจาะเลือด)

เป็นรูปแบบการตรวจเอชไอวีเบื้องต้นที่สามารถทำได้เอง โดยการตรวจคัดกรองจากเลือดหรือส่วนประกอบของเลือด ซึ่งผู้ตรวจจะต้องศึกษาการใช้งานชุดตรวจอย่างละเอียดผ่านเอกสารที่แนบมาภายในชุดตรวจ ทั้งนี้ข้อควรระวังสำหรับชุดตรวจนี้คือใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น กรณีที่ชุดตรวจเอชไอวีมีสภาพไม่สมบูรณ์ห้ามใช้ชุดตรวจนั้น ๆ เด็ดขาด ที่สำคัญคือการตรวจด้วยชุดตรวจนี้เป็นการตรวจเบื้องต้นเท่านั้น หากทราบผลว่าติดเชื้อผู้ตรวจต้องเข้ารับการตรวจยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง 

  • ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (น้ำลาย)

เป็นรูปแบบการตรวจเอชไอวีเบื้องต้นที่สามารถทำได้เอง โดยการตรวจคัดกรองจากน้ำลายหรือของเหลวในช่องปาก ซึ่งผู้ตรวจจะต้องทำความเข้าใจและทราบขั้นตอนการตรวจอย่างครบถ้วนก่อน เพื่อกระบวนการตรวจที่แม่นยำและผลที่แน่ชัดมากที่สุด ทั้งนี้ข้อควรระวังไม่แตกต่างจากชุดตรวจด้วยการเจาะเลือดเท่าไหร่นัก จำกัดเพียงว่าจะต้องใช้ของเหลวจากช่องปากในตำแหน่งที่เจาะจงไว้ในคำแนะนำเท่านั้น สิ่งสำคัญคือไม่ควรทำความสะอาดช่องปากอย่างน้อย 30 นาทีก่อนการตรวจ

#เอชไอวี #ชุดตรวจเอชไอวี #ตรวจเลือด #ตรวจเอชไอวี #ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง #HIV

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

continue reading
ตรวจเอชไอวี

เมื่อไหร่ที่ควรไปตรวจเอชไอวี?

ตรวจเอชไอวี ตรวจเอดส์ ตรวจโรคติดต่อทางเพศ

หากคุณสงสัยว่าตัวเองมีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การรีบปรึกษาแพทย์ หรือสถานพยาบาล เพื่อทำการตรวจเลือดโดยเร็ว ไม่จำเป็นต้องรอให้แสดงอาการ เพราะความจริงนั้น ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัวเลยว่าได้รับเชื้อมาเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีสัญญาณใด ๆ ระบุได้ว่าอาการไหน คือคนที่ติดเชื้อแล้ว จนกว่าคนนั้นจะได้ทำการเจาะเลือด

แบบไหนควรตรวจเอชไอวี?

  • ไม่สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • เกิดอุบัติเหตุโดนเข็มฉีดยา กรณีที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์
  • ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือมึนเมาไม่ได้สติขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในช่วงระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา
ตรวจHIV ตรวจเลือด ตรวจเอชไอวี ตรวจเอดส์ ตรวจโรคติดต่อทางเพศ

รู้จัก Window Period กันก่อน!

ระยะฟักตัว หรือ Window Period อธิบายง่าย ๆ คือ ช่วงเวลาที่คุณได้รับเชื้อเอชไอวีมาแล้ว แต่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Anti-body) ยังตรวจไม่พบเชื้อ ทำให้การเจาะเลือดตรวจในช่วงนี้ยังไม่พบเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยปกติแล้วระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะสามารถตรวจจับเชื้อเอชไอวีได้ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งแต่ละคนก็ใช้เวลาไม่เท่ากัน เพราะการตอบสนองของร่างกายต่อเชื้อไวรัสนั้นแตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องรอระยะเวลาที่จะสามารถตรวจเอชไอวีพบเชื้อได้นั่นเอง

ต้องรอกี่วันถึงไปตรวจเลือดได้?

ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความก้าวไกลมาก ณ ปัจจุบัน ทำให้มีการพัฒนาชุดตรวจเอชไอวีที่ใช้กรรมวิธีที่แตกต่างกันไป ดังต่อไปนี้

การตรวจหาแอนติบอดีของเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV)

แอนติบอดีนั้น ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับเชื้อร้ายที่เข้ามาสู่ร่างกายโดยตรง ตามระบบภูมิคุ้มกันธรรมชาติของคนเรา โดยจะสามารถตรวจพบได้ในช่วงระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ถึง 1 เดือนขึ้นไป หลังได้รับเชื้อมาแล้ว การตรวจเอชไอวีวิธีนี้ จึงเป็นการตรวจจับแอนติบอดีในเลือดของเรานั่นเอง หากตรวจพบก็แสดงว่าร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปจริง ๆ เพราะเจ้าแอนติบอดีออกมาต่อสู้กับเชื้อ ทั้งนี้ หากต้องการความมั่นใจควรตรวจซ้ำหลังจากนี้ 3 เดือน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาผลิตแอนติบอดีมากพอ และเป็นการยืนยันผลตรวจที่แน่นอนอีกครั้ง

การตรวจเอชไอวีด้วยเทคนิค PCR

PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมในระดับอณูชีวโมเลกุล โดยสามารตรวจได้แม้แต่กระทั่งเด็กทารกที่อาจได้รับเชื้อเอชไอวีจากแม่ ตั้งแต่ช่วงอายุ 1 เดือน หากคุณตั้งครรภ์ การตรวจเอชไอวีเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากคุณมีเชื้อ จะสามารถวางแผนและป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อสู่เด็กในครรภ์ได้ หรือใช้ตรวจในผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยง 14 วันขึ้นไป ซึ่งเป็นวิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่ทำให้การวินิจฉัยโรคเพื่อทำการรักษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การตรวจเอชไอวีแบบแนท (NAT)

NAT : Nucleic Acid Testing เป็นวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อโดยตรงที่มีความรวดเร็วที่สุด และยังมีความแม่นยำสูง โดยผู้ที่มีความเสี่ยงต่อเชื้อเอชไอวีมาเพียง 7-14 วันขึ้นไป ก็สามารถตรวจได้ ไม่จำเป็นต้องรอระยะเวลานานเหมือน 2 วิธีข้างต้น แต่ผู้ที่ตรวจด้วยวิธีนี้ แพทย์จะแนะนำให้กลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 1 เดือนเพื่อยืนยันผล

ตรวจเอชไอวีที่ไหน สถานที่ตรวจเลือด ตรวจHIVที่ไหน คลินิกตรวจเลือด ตรวจเลือดกรุงเทพ

ตรวจเอชไอวีได้ที่ไหน?

คนไทยทุกคนสามารถตรวจเอชไอวีได้ฟรี ปีละ 2 ครั้ง ที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ แต่ก็มีหลายคนที่ไม่อยากรอคิวนาน รอฟังผลนานด้วยความที่ว่าสถานพยาบาลของทางภาครัฐ ย่อมมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก วันนี้เรามีทางเลือกในการตรวจเอชไอวีที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว โดยการจองผ่านเว็บไซต์ https://love2test.org/th ได้ตามสถานที่ดังต่อไปนี้

จังหวัดสถานบริการข้อมูลการจองตรวจ
กรุงเทพฯเซฟ คลินิก (SAFE CLINIC)https://love2test.org/clinic/SafeClinic
คลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้งรามคำแหง
(Rainbow Sky Association of Thailand (RSAT))
https://love2test.org/clinic/rsatbangkok
SWING THAILAND สาขาสีลม (Swing Silom)https://love2test.org/clinic/swing.silom
SWING สาขาสะพานควาย
(Swing Saphankhwai)
https://love2test.org/clinic/swing.saphankhwai
คลินิกรักษ์เพื่อน โรงพยาบาลกลาง
(Rakpuen Clinic Klang Hospital)
https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.klanghospital
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลตากสิน
(Rakpuen Clinic Taksin Hospital)
https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.taksin
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์
(Rakpuen Clinic Charoenkrung Pracharak)
https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.charoenkrung
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลสิรินธร
(Rakpuen Clinic Sirindhorn)
https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.sirindhorn
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ (Rakpuen Clinic Vejkarun)https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.vejkarun
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลลาดกระบัง (Rakpuen Clinic Lardkrabang)https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.ladkrabang
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ (Rakpuen Clinic Ratchaphiphat)https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.ratchaphiphat
คลินิกรักษ์เพื่อนโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ (Rakpuen Clinic Thaweesak)https://love2test.org/clinic/rakpuenclinic.thaweesak
คลินิกรักษ์เพื่อนคณะแพทยศาสตร์
วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช (Rakpuen Clinic Nawamin)
https://love2test.org/clinic/rakpuen.nawamin
มูลนิธิเอชไอวี เอเชีย
(The HIV Foundation Asia)
https://love2test.org/clinic/hivfoundation
คลินิก บัดดี จุฬา (BUDDY CU Clinic)https://love2test.org/clinic/buddycuclinic
จังหวัดสถานบริการข้อมูลการจองตรวจ
เชียงใหม่คลินิกฮักษา กลางเวียง (HUGSA CLINIC)https://love2test.org/clinic/hugsa
แคร์แมท (CAREMAT)https://love2test.org/clinic/CAREMAT
Mplus Thailandhttps://love2test.org/clinic/MplusChiangMai
จังหวัดสถานบริการข้อมูลการจองตรวจ
ชลบุรีคลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้ง เมืองชลบุรี (Rsat Chon Buri)https://love2test.org/clinic/Rsatchonburi
SWING สาขาพัทยา(Swing Pattaya)https://love2test.org/clinic/swing.pattaya
อุบลราชธานีคลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้ง อุบลราชธานี (Rsat Ubon)https://love2test.org/clinic/RsatUbon
อุดรธานีศูนย์บริการสุขภาพชุมชนมูลนิธิเอ็มเฟรนด์อุดรธานี
(M-Friends Udonthani Foundation)
https://love2test.org/clinic/MFriends
ขอนแก่นแอ๊คทีม (Actteam)https://love2test.org/clinic/Actteam
ภูเก็ตสบายดีคลินิก โรงพยาบาลป่าตอง
(Sabidee Clinic Patong)
https://love2test.org/clinic/SabideePatong
สงขลาคลินิกเทคนิคการแพทย์ฟ้าสีรุ้ง หาดใหญ่
(RSAT Songkhla)
https://love2test.org/clinic/RsatSongkhla

ตรวจเอชไอวีเป็นประจำทุกปี

เราแนะนำให้รวมการตรวจเอชไอวีเข้ากับโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีของคุณไปเลยทีเดียว เพราะการเช็คเป็นประจำ จะช่วยป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากโรคนี้ได้ รวมถึงตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย หากคุณเป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงเป็นประจำอยู่แล้ว ก็ควรตรวจเอชไอวีอย่างน้อยทุก ๆ 3-6 เดือนหรือบ่อยกว่านี้ โดยประเมินจากความเสี่ยงที่คุณมีเพศสัมพันธ์ในแต่ละครั้ง

ถึงแม้ว่า คุณจะไม่มีความเสี่ยงแบบที่กล่าวไปข้างต้น แต่หากคุณยังมีเพศสัมพันธ์อยู่ ก็ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง เพื่อหาเชื้อไวรัสเอชไอวีเป็นประจำ เพราะเราไม่อาจรู้ได้แน่นอนว่า คู่นอนของเรามีความเสี่ยงหรือไม่ การตัดสินใจตรวจเอชไอวี ถือเป็นเรื่องที่ดีและมีประโยชน์ แสดงถึงความใส่ใจในสุขภาพทางเพศของคุณเป็นอย่างดีครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

continue reading
ตรวจเอชไอวี

เอชไอวี ตรวจก่อน ป้องกันได้

เอชไอวี (HIV) คือ โรคจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี HIV ย่อมาจากคำว่า Human Immunodeficiency Virus. โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปอาศัยในร่างการจน และเริ่มทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคน โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวประเภททีเซลล์ T-Cell หรือบางที่เรียวกว่า CD4

ซึ่งโดยปกติแล้วเม็ดเลือดขาวตัวนี้จะเป็นตัวทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อเม็ดเลือดขาวถูกทำลายทำให้เราไม่สามารถต่อสู้กับโรคได้ และทำให้เราเจ็บป่วยได้

เอชไอวีมีอาการอย่างไร ?

สำหรับเอชไอวี สำหรับบางคนเมื่อรับเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย จะยังไม่แสดงอาการ และไม่สามารถมองอาการด้วยได้ตาเปล่า ต้องมีการตรวจ HIV เท่านั้นถึงจะทราบว่าเป็นเอชไอวีหรือไม่ สำหรับผู้ที่รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายและ มีอาการของโรคเอดส์ จะพบอาการดังนี้

  • มีอาการท้องเสียเรื้อรังนานกว่าหนึ่งสัปดาห์
  • พบว่าน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
  • ตรวจพบมีผื่นตามผิวหนัง ในช่องปาก
  • มีแผลที่ริมฝีปาก อวัยวะเพศและทวารหนัก
  • อาการบวมที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้และขาหนีบ

การติดเชื้อเอชไอวี

การติดเชื้อเอชไอวี( HIV )แบ่งได้ 4 ระยะ ดังนี้

  1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน (Acute HIV Infectious )คือ ระยะที่รับเชื้อมาใหม่ๆ โดยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่สำหรับบางคนจะไม่มีอาการใด ๆ ทำให้ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี
  2.  ระยะไม่ปรากฏอาการ (Clinical Latency Stage) คือ เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นระยะที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ และไม่สามารถสังเกตุได้ มักจะทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นได้
  3. ระยะมีอาการ คือ เป็นช่วงระยะมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น จะพบมีตุ่มคันขึ้นตามแขน มีฝ้าขาวในปาก ขา ในหลายคนมักมีไข้เรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ และพบว่ามีอาการท้องเสียเรื้อรังมากกว่า 2 สัปดาห์ และน้ำหนักลดมากกว่าร้อยละ 10 เป็นต้
  4. ระยะเอดส์ (AIDS) คือ ระยะนี้ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะถูกทำลายลงไปมาก CD4 มีปริมาณที่น้อยมาก สามารถทราบได้จากการตรวจเลือดจะพบเม็ดเลือดขาวชนิดซีดีสี่ลดลง ร่างกายเริ่มติดโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อราในปอด เชื้อราขึ้นสมอง

เอชไอวี ตรวจก่อน ป้องกันได้

การป้องกันเอชไอวี?

เอชไอวีเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  STD การวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะถุงยางอนามัยจะสามารถป้องกันโรคติดต่อได้เกือบทุกชนิดทั้งยังสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย

วิธีป้องกันอีกแบบหนึ่งคือการทานยาที่เรียกว่า PrEP ซึ่งจะเป็นยาที่ทานดักไว้ก่อนการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี แต่ยา PrEP นี้จะสามารถป้องกันได้แค่โรคเอชไอวีเท่านั้น หากอยากป้องกันให้ครบถ้วนก็ควรใช้ถุงยางอนามัยอยู่ดี

อย่างไรก็ตามเราเป็นผู้ศูนย์กลางในการเลือกวิธีการป้องกัน HIV เราสามารถกำหนดได้ว่าอยากใช้เพร็พ หรือถุงยาง หรือใช้คู่กันเพื่อให้ตัวเองปลอดภัยและคงสถานะลบให้นานที่สุด

การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี

ปัจจุบันการรักษาเอชไอวี มีเพียงการรักษาด้วยยาต้านเอชไอวีเท่านั้น เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่สุด โดยผู้ติดเชื้อจะได้รับยาต้านเอชไอวีอย่างน้อย 3 ชนิดร่วมกันเป็นสูตรยา แต่มีหลักการรักษา คือ ผู้ติดเชื้อต้องกินยาให้ตรงเวลาทุกวันต่อเนื่องตลอดชีวิต เพราะยาจะไปทำการยับยั้งการแบ่งตัวและการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส ถ้าหยุดกินเมื่อไหร่ก็จะทำให้เชื้อไวรัสแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและแพร่กระจาย

และในขณะนี้ ปี 2021 การพัฒนายาต้านแบบฉีดได้รับความสนใจและประสพความสำเร็จในบางประเทศและหวังว่าประเทศไทยจะนำมาใช้เร็ว ๆ นี้ โดยการฉีดยาต้านเอชไอวี จะทำการฉีดเดือนละครั้ง แทนการทานยาทุกวัน

สรุป เอชไอวีไม่ได้เป็นโรคที่น่ากลัวหากเรามีการป้องกันและมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ ทำให้รู้สถานของตัวเราและวางแผนชีวิตได้ อย่าลืมนะครับ ตรวจเอชไอวีปัจจุบันฟรี https://love2test.org/th/clinic

continue reading