หนองใน เป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ถูกตรวจพบเป็นอันดับต้นๆ ประมาณร้อยละ 40 ของโรคติดต่อที่มาจากกิจกรรมทางเพศทั้งหมด ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศไม่จำกัดเฉพาะชายหรือหญิง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงอายุตั้งแต่ 15-24 ปี หนองใน ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ การติดต่อของเชื้อนี้ผู้นั้นจะต้องได้รับความเสี่ยงมา โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ถึงจะติดเชื้อได้ เราจึงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บ่อยๆ เพราะเราไม่รู้ว่าใครมีเชื้อโรคอะไรอยู่ในร่างกายหรือไม่ และจะสามารถไว้ใจในคู่นอนของคุณได้แค่ไหน ถึงอย่างไรก็ตาม วันนี้ เรามาเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโรคหนองในเพิ่มเติมกันครับ
หนองใน มีกี่ประเภท
หนองในเป็นเชื้อแบคทีเรีย แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ
ประเภทที่ 1 : หนองใน แท้
ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า Neisseria Gonorrhoeae (ไนซีเรีย โกโนเรีย) มีลักษณะค่อนข้างกลมอยู่กันเป็นคู่เว้าเข้าหากันคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว โดยพื้นฐานแล้ว จะชอบอาศัยอยู่ในที่ชื้นและอบอุ่น เพราะเหตุนี้ จึงมักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก ลำคอ และเยื่อบุตา เป็นต้น และ
ประเภทที่ 2 : หนองใน เทียม
หนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า Chlamydia Trachomatis (คลามัยเดีย ทราโคมาติส) ส่วนใหญ่ หนองในเทียมจะไม่แสดงอาการและกว่าผู้ติดเชื้อจะรู้ว่าเป็นโรคนี้ก็ต่อเมื่อได้รับการตรวจเท่านั้น
ปัจจัยไหนบ้าง? ที่เสี่ยงติดหนองใน
- มีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปากโดยไม่สวมถุงยางอนามัย
- ติดเชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอดที่สัมผัสเชื้อโดยตรง
- มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือใช้บริการทางเพศบ่อยครั้ง

ถ้าไม่อยากเป็นหนองในต้องป้องกันอย่างไร
- สวมถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็น คู่นอนประจำ แฟนของคุณ ทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก การออรัลเซ็กส์ ก็ควรสวมทุกครั้ง
- งดการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เพราะเราไม่รู้ว่าใครมีโรคติดต่ออะไรอยู่หรือไม่
- ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรทำความสะอาดอวัยวะเพศและร่างกายให้เรียบร้อย
- หมั่นตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำทุกปี
- รักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือไม่ดื่มของมึนเมาจนเผลอมีอะไรกับใครไม่ได้สติ
หนองใน มีอาการอย่างไร
หนองในแท้ มีระยะฟักตัวค่อนข้างเร็ว คือ 1-10 วันก็สามารถตรวจพบได้แล้ว แต่หากจะ เปรียบเทียบ กับหนองในเทียมจะมีระยะฟักตัวที่มากกว่า อาการเรื้อรังนานกว่า แต่ไม่ค่อยรุนแรงเท่าหนองในแท้ อาการที่พบมักจะเกิดในบริเวณที่ติดเชื้อมาตั้งแต่แรก นอกเหนือจากนั้น ก็ยังมีความแตกต่างกันของอาการในผู้ชาย และผู้หญิง ดังต่อไปนี้
หนองในเพศชาย
- มีของเหลวข้นสีเหลือง หรือสีขาว ลักษณะเหมือนหนองข้นๆ ไหลออกจากปลายองคชาต
- รู้สึกแสบขัดเวลาปัสสาวะ ปวดบวมที่อัณฑะ ท่อปัสสาวะอักเสบ
- มีอาการเจ็บคอ คออักเสบ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- มีผื่นขึ้นบริเวณรอบอวัยวะเพศ หรือรอบรูทวารหนัก
หนองในเพศหญิง
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมาจำนวนน้อย
- มีการตกขาวมากผิดปกติ ของเหลวมีลักษณะสีเหลืองหรือเขียว เป็นมูกหนอง มีกลิ่นเหม็น
- มีของเหลวออกจากช่องคลอด ทวารหนัก
- เจ็บบริเวณอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์
- ปัสสาวะลำบาก เจ็บหรือแสบเวลาปัสสาวะ
- หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เชื้อแพร่สู่มดลูกและท่อทางเดินรังไข่
- มดลูก ปากมดลูก หรือปีกมดลูกอักเสบ มีหนอง
- มีเลือดออกที่ช่องคลอดระหว่างที่ยังไม่มีรอบเดือน
จะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อ หนองใน
หากมีอาการ ดังกล่าวข้างต้น แนะนำให้พบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและเก็บตัวอย่างปัสสาวะส่งเพาะเชื้อที่ห้องปฏิบัติการ ป้ายหนองที่ออกมาจากท่อปัสสาวะ หรือเก็บตัวอย่างช่องทางที่คุณมีเพศสัมพันธ์ เช่น ทางลำคอ หรือทางทวารหนักร่วมด้วย แพทย์จะนำไปพิจารณาและวินิจฉัยว่าคุณติดเชื้อหนองในหรือไม่ และเป็นหนองในประเภทใด รอผลการตรวจประมาณ 7-10 วันขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลแต่ละแห่ง นอกจากนี้ หากคุณตรวจพบเชื้อหนองในไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ควรได้รับการตรวจหาเชื้อซิฟิลิส (VDRL) และตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ร่วมด้วย เนื่องจาก มีแนวโน้มสูงว่าจะติดเชื้อเหล่านี้ไปด้วย
ดังที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า หนองในแท้ และหนองในเทียมมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่ถึงอย่างไร ในขั้นตอนของการรักษาโรคหนองในทั้งคู่ ก็มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยาที่ใช้ก็เป็นคนละตัวยา หากคุณมีอาการที่ผิดสังเกตควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาในทันที ที่สำคัญ ควรได้รับการตรวจยืนยันจากแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้เลือกวิธีการรักษาที่ถูกต้องและแม่นยำ ในขณะเดียวกัน ก็จะช่วยป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาที่ผิดวิธีได้
รักษาหนองในอย่างไร
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ผู้ป่วยหนองในที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และผู้ป่วยหนองในที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังนี้
หนองในที่ไม่มี ภาวะแทรกซ้อน | การรักษา |
หนองในที่อวัยวะเพศและทวารหนัก | ใช้การฉีดยา Ceftriaxone 500 mg เข้ากล้ามเนื้อ 1 ครั้ง หรือยา Cefixime 400 mg สำหรับทาน 1 ครั้ง |
หนองในที่เยื่อบุตา | ใช้การฉีดยา Ceftriaxone 500 mg เข้ากล้ามเนื้อ 1 ครั้ง |
หนองในที่ช่องคอ | ใช้การฉีดยา Ceftriaxone 1 g เข้ากล้ามเนื้อ 1 ครั้ง หรือหลอดเลือดดำ 1 ครั้ง และล้างตาด้วยน้ำเกลือปลอดเชื้อให้สะอาด |
หนองในที่มีภาวะแทรกซ้อน | การรักษา | หมายเหตุ |
หนองในเฉพาะที่ | ฝีในอวัยวะเพศ ลูกอัณฑะอักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด | รักษาแบบเดียวกับหนองในที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน อย่างน้อย 2 วันขึ้นไปหรือจนกว่าจะหายดี |
หนองในแพร่กระจาย | เลือดออกในชั้นผิวหนังหรือเยื่อบุ ภาวะโรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อ ภาวะเอ็นอักเสบ | ใช้การฉีดยา Ceftriaxone 1-2 g เข้ากล้ามเนื้อหรือหลอดเลือดดำทุกๆ 12 ชั่วโมง ต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ |
วิธีดูแลตัวเองในขณะที่รักษาหนองในอยู่
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายขาดจากโรค แต่หากจำเป็น ก็ควรสวมถุงยางอนามัย
- ทานยาตามแพทย์สั่งให้ครบและมีวินัย ไม่ขาดยา เพื่อลดโอกาสดื้อยาที่อาจเกิดขึ้นได้
- กลับไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อให้การรักษาหนองในเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
- ดูแลรักษาความสะอาดของตัวคุณเอง ทั้งร่างกาย เสื้อผ้า โดยเฉพาะบริเวณที่อับชื้นอย่างอวัยวะเพศ
- หากมีอาการผิดปกติใดๆ ไม่ควรหาซื้อยามาทานเอง ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
- ถ้าคู่นอนมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ คุณควรแนะนำให้มาพบแพทย์เช่นกัน เพื่อทำการตรวจและรักษา ไม่ให้ติดเชื้อซ้ำซ้อนได้
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นเดียวกับ การงดสูบบุหรี่
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด และออกกำลังสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม หนองใน สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วย การตรวจพบไว และเข้าพบแพทย์ทันที เพราะ หากเริ่มการรักษาตั้งแต่ระยะแรกที่พบเชื้อจะมีโอกาสที่จะหายจากโรคได้สูง รวมทั้ง ผู้ที่รักษาหนองในจนหายแล้วควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี ตัวอย่างเช่น ไม่นำตัวเองไปเสี่ยงรับเชื้อเพิ่ม มีคู่นอนคนเดียวและคู่นอนคนนั้นควรได้รับการตรวจหนองใน และไม่พบโรค นอกจากนี้ ทุกคนควรให้ความสำคัญ ของการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ อันจะเป็นการ ลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต